เปิดในหน้าต่างใหม่
ดาวน์โหลดวีดีโอ
สิ่งแวดล้อม 13 มีนาคม 2567
ในป่าแอตแลนติกของอเมริกาใต้ หลายคนเชื่อว่าการที่ชีวิตหนึ่งจะอยู่รอดได้ขึ้นอยู่กับแม่ ซึ่งก็คือหัวหน้าเผ่าเพศหญิงที่เป็นผู้จัดหาทุกสิ่ง สิ่งนี้เป็นความจริงสำหรับพืชและสัตว์ต่างๆ ในป่า แม้กระทั่งต้นไม้ที่สูงตระหง่านเสียดฟ้าซึ่งให้ร่มเงาแก่สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในภายใต้ร่มเงาของมัน
ในปัจจุบัน เราคาดว่ามีต้นไม้ประมาณ 5,000 สายพันธุ์อยู่ในป่าแอตแลนติก และสองในสามของบรรดาสายพันธุ์เหล่านั้นกำลังเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์หลังจากถูกเอารัดเอาเปรียบและขูดรีดผลประโยชน์มานานหลายศตวรรษ การฟื้นฟูป่าดิบชื้นบนพื้นที่ที่มีโอกาสปลูกป่าทดแทนได้เกือบ 100 ล้านเอเคอร์เฉพาะในบราซิลเพียงประเทศเดียวถือเป็นหัวใจสำคัญของโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก Apple ในภูมิภาคนี้ ซึ่งรวมถึงโครงการที่อยู่ถัดจากเมืองชายฝั่งทะเล Trancoso ในรัฐ Bahia ประเทศบราซิล โดยบริษัทหนึ่งกำลังเพาะปลูกต้นกล้าจากต้นแม่ ซึ่งเป็นต้นที่ฟื้นตัวได้ดีที่สุดจากบรรดาสายพันธุ์ต่างๆ ที่รอดพ้นมาจากป่าดิบชื้นที่ถูกทำลาย
“เราเริ่มต้นด้วยสารพันธุกรรมที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งเราเก็บได้จากเขตอนุรักษ์พื้นเมืองขนาดใหญ่ของป่าดิบชื้นแอตแลนติก” Bruno Mariani ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Symbiosis บริษัทด้านการจัดการป่าไม้และการลงทุนอธิบาย “สารพันธุกรรมนี้จะดึงดูดสัตว์และแมลงจำนวนมาก”
Bruno Mariani ยืนอยู่ในป่าแอตแลนติก
Bruno Mariani ซึ่งเป็น CEO ก่อตั้ง Symbiosis ขึ้นในปี 2008 เพื่อจัดการกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เขาพบเห็นด้วยตนเองในบราซิลและต่างประเทศ
Symbiosis ก่อตั้งขึ้นในปี 2008 โดยได้ทำหน้าที่รวบรวม เก็บรักษา และเพาะเมล็ดพันธุ์จากต้นแม่ (Mother tree) ของพืชสายพันธุ์พื้นเมืองบราซิลมาตั้งแต่ปี 2010 “ต้นแม่เป็นตัวแทนของธรรมชาติที่มอบพลังงานทั้งหมดแก่เราและเป็นรากฐานสำหรับการฟื้นฟูป่า ดังนั้น ต้นแม่จึงมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเรา” Mickael Mello ผู้จัดการเรือนเพาะชำของ Symbiosis กล่าว
Symbiosis เป็นหนึ่งในสามการลงทุนที่เป็นส่วนหนึ่งของ Restore Fund (กองทุนเพื่อการฟื้นฟูธรรมชาติ) ที่ประกาศในปี 2021 โดยมีเป้าหมายในการขยายโครงการที่อิงจากธรรมชาติเพื่อจัดการกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ Restore Fund ได้ลงทุนในโครงการกำจัดคาร์บอนสามโครงการทั่วบราซิลและปารากวัยด้วยความร่วมมือกับ Goldman Sachs และ Conservation International โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างประโยชน์ที่มากกว่าการลดคาร์บอน แต่ยังรวมถึงการเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่เข็มแข็งในท้องถิ่นตลอดจนการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพอีกด้วย
จากซ้ายไปขวา: (1) Fabiane Souza M. Delmira เป็นผู้นำทีมเพาะชำพืชและติดตามการจัดเก็บเมล็ดพันธุ์ที่ Symbiosis ฟังเธอบรรยายถึงความสำคัญของการใช้เมล็ดพันธุ์จากต้นแม่เพื่อเพาะชำต้นกล้า (2) ธนาคารเมล็ดพันธุ์ของ Symbiosis เต็มไปด้วยชั้นวางซึ่งเป็นที่เก็บถังบรรจุเมล็ดพันธุ์คุณภาพสูงหลายแสนเมล็ดจากต้นไม้ที่ฟื้นตัวได้ดีที่สุดบนที่ดินของบริษัทในป่าแอตแลนติก
จากบนลงล่าง: (1) Fabiane Souza M. Delmira เป็นผู้นำทีมเพาะชำพืชและติดตามการจัดเก็บเมล็ดพันธุ์ที่ Symbiosis ฟังเธอบรรยายถึงความสำคัญของการใช้เมล็ดพันธุ์จากต้นแม่เพื่อเพาะชำต้นกล้า (2) ธนาคารเมล็ดพันธุ์ของ Symbiosis เต็มไปด้วยชั้นวางซึ่งเป็นที่เก็บถังบรรจุเมล็ดพันธุ์คุณภาพสูงหลายแสนเมล็ดจากต้นไม้ที่ฟื้นตัวได้ดีที่สุดบนที่ดินของบริษัทในป่าแอตแลนติก
ตั้งแต่การเพาะเมล็ดพันธุ์ครั้งแรกซึ่งประกอบด้วย 160 สายพันธุ์ที่แตกต่างกันกระจายไปทั่วพื้นที่ซึ่งจะได้รับการปกป้องอย่างถาวรจากการตัดไม้ วันนี้ Symbiosis ได้ขยายการฟื้นฟูไปสู่ต้นไม้พื้นเมืองอีกมากมายที่กำลังถูกคุกคาม และด้วยความพยายามที่จะลดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ Symbiosis จึงมุ่งมั่นที่จะจัดสรรที่ดิน 40%ไว้สำหรับพืชป่าหลากหลายสายพันธุ์ และที่ดินที่เหลือจะใช้ปลูกไม้เนื้อแข็งเขตร้อนอันล้ำค่าซึ่งได้มาจากแหล่งที่มีการจัดการอย่างรับผิดชอบ หลังจากปลูกป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพขนาด 800 เฮกตาร์มานานกว่าทศวรรษ บริษัทตั้งเป้าที่จะปลูกต้นกล้าอีกกว่า 1 ล้านต้นบนพื้นที่ 1,000 เฮกตาร์ในปี 2024 เพียงปีเดียว
“ต้นไม้ทำงานเป็นกลุ่ม เหมือนเป็นเครือข่าย” Mariani กล่าว “ต้นไม้ยังชอบอยู่เป็นสังคมและชอบช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วย รากของแต่ละสายพันธ์ุจะหยั่งลึกลงไปในดินที่แตกต่างกัน ดังนั้น ต้นไม้จึงไม่มีการแข่งขัน แต่จะให้ความร่วมมือกัน”
ป่าแอตแลนติกตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่งตะวันออกของอเมริกาใต้ โดยเริ่มต้นทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล และแผ่ขยายเข้าไปในพื้นที่ของประเทศโดยทอดยาวลงสู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของปารากวัยและทางตอนเหนือของอาร์เจนตินา พื้นที่จุดเหนือสุดมีความกว้างเพียง 40 ไมล์ และทอดยาวประมาณ 200 ไมล์ภายในประเทศจากแนวชายฝั่งแอตแลนติกตอนใต้ หลังจากการตัดไม้ทำลายป่ามากว่า 500 ปี ป่าดิบชื้นนี้ได้ถูกทำลายลงถึง 80% โดยมีภูมิประเทศที่กลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมสำหรับเพาะปลูกกาแฟ โกโก้ อ้อย และพืชผลอื่นๆ รวมทั้งเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ป่าดิบชื้นส่วนใหญ่ได้สูญเสียไม้เนื้อแข็งอันล้ำค่า รวมถึงไม้บราซิลและไม้ชิงชันบราซิลที่ใช้ทำเครื่องเรือน การก่อสร้าง และแม้แต่เครื่องดนตรี เช่น กีตาร์ ปัจจุบัน ป่าแอมะซอนก็กำลังเผชิญสถานการณ์นี้เช่นกัน
มุมมองทางอากาศของป่าแอตแลนติกในบราซิล
ในปีนี้ Symbiosis มีเป้าหมายในการผลิตต้นกล้าให้ได้ 1 ล้านต้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการรักษาป่าไม้ที่ได้รับการจัดการอย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง
ตัวเลขคาดการณ์แสดงให้เห็นว่าป่าแอตแลนติกมีพื้นที่ที่สามารถปลูกป่าทดแทนได้ประมาณ 40 ล้านเฮกตาร์หรือ 100 ล้านเอเคอร์ แนวทางการทำป่าไม้ของ Symbiosis มีเป้าหมายเพื่อสร้างป่าไม้ที่ยั่งยืนแบบมีคุณภาพสูง พร้อมทั้งต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการกักเก็บคาร์บอน นั่นก็คือธรรมชาตินั่นเอง “เรากำลังสร้างสมดุลระหว่างการผลิตไม้และปริมาณคาร์บอน” Alan Batista ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Symbiosis ผู้ศึกษาด้านป่าไม้และมีอาชีพเกี่ยวกับการขยายพันธุ์พืชในอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษและกระดาษ กลยุทธ์ทางธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ และการเงินกล่าว
“จริงๆ แล้วชีวมวลไม้มีส่วนในการสร้างคาร์บอนจำนวนมากซึ่งเก็บสะสมไว้ที่นี่ และเรารู้ว่ามีคาร์บอนจำนวนมากถูกเก็บไว้ในดินเช่นกัน” Batista กล่าว “ดังนั้น เมื่อเป็นเรื่องของการเก็บเกี่ยว เราต้องคิดให้รอบคอบตั้งแต่ต้นจนจบ รูปแบบการจัดการที่เราใช้ที่นี่คือการจัดการพื้นที่ป่าปกคลุมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่าเราจะดูแลพื้นที่นี้ตลอดไป เพื่อให้มันเต็มไปด้วยต้นไม้เสมอ”
Alan Batista ถือต้นกล้าไว้ในมือขณะยืนอยู่ในเรือนกระจก
หลังจากเรียนจบมาเพื่อเป็นวิศวกรป่าไม้ Alan Batista ซึ่งเป็น CFO ของ Symbiosis ใช้เวลาช่วงปีแรกๆ ทำงานในอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษเพื่อฝึกฝนเทคนิคในการขยายพันธุ์พืชและการโคลนนิ่งพืช ก่อนที่จะไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทในต่างประเทศ ซึ่งทำให้เขาเริ่มหันมาสนใจวนวัฒนวิทยารูปแบบใหม่เกี่ยวสายพันธุ์พื้นเมือง
จากซ้ายไปขวา: (1) Mickael Bandeira de Mello ผู้จัดการเรือนเพาะชำของ Symbiosis ได้รับมอบหมายให้ช่วยขยายพื้นที่เพาะปลูกจาก 800 เฮกตาร์ในระยะเวลา 10 ปี เป็น 1,000 เฮกตาร์ในปีเดียว (2) วิศวกรป่าไม้ Victor Leon Rocha Araújo วิเคราะห์ประสิทธิภาพของพื้นที่ปลูกก่อนหน้าของ Symbiosis ตั้งแต่คุณภาพดินไปจนถึงสุขภาพต้นไม้ เพื่อกำหนดแผนสำหรับพื้นที่ปลูกในอนาคต
จากบนลงล่าง: (1) Mickael Bandeira de Mello ผู้จัดการเรือนเพาะชำของ Symbiosis ได้รับมอบหมายให้ช่วยขยายพื้นที่เพาะปลูกจาก 800 เฮกตาร์ในระยะเวลา 10 ปี เป็น 1,000 เฮกตาร์ในปีเดียว (2) วิศวกรป่าไม้ Victor Leon Rocha Araújo วิเคราะห์ประสิทธิภาพของพื้นที่ปลูกก่อนหน้าของ Symbiosis ตั้งแต่คุณภาพดินไปจนถึงสุขภาพต้นไม้ เพื่อกำหนดแผนสำหรับพื้นที่ปลูกในอนาคต
Symbiosis ได้นำข้อมูลดาวเทียม ความรู้ทางนิเวศวิทยา และการเรียนรู้ของระบบของ Space Intelligence มาสร้างสิ่งปกคลุมดิน การเปลี่ยนแปลงของสิ่งปกคลุมดิน และแผนที่คาร์บอนในป่า เพื่อคำนวณปริมาณคาร์บอนที่กักเก็บไว้ในพื้นที่ปลูก ข้อมูลดาวเทียมจะถูกนำมารวมกับการอ่านผลจากแอป ForestScanner ซึ่งจะทำการวัดภาคสนามด้วยเครื่องสแกน LiDAR บน iPhone เพื่อระบุอายุและอัตราการเติบโต “ทั้งหมดนี้ช่วยให้เราคัดกรองคุณสมบัติและการใช้ประโยชน์จากที่ดินได้ เช่น มีพื้นที่ทุ่งหญ้า พื้นที่ป่า และการตัดไม้ทำลายป่าย้อนหลังมากแค่ไหน” Batista อธิบาย
ส่วนหนึ่งของกระบวนการคัดกรองคือการระบุพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นที่ดินของชุมชนพื้นเมือง ซึ่ง Symbiosis หวังว่าจะเป็นพันธมิตรด้วยในไม่ช้าเพื่อระบุและรวบรวมเมล็ดพันธุ์จากต้นแม่บนที่ดินของพวกเขา หลังจากไปเยือนแอมะซอนในปี 2007 เพื่อดูว่าชุมชนพื้นเมืองแห่งหนึ่งปลูกป่าในพื้นที่ที่ถูกทำลายโดยคนตัดไม้ตามแนวชายแดนเปรูได้อย่างไร Mariani จึงได้รับแรงบันดาลใจกลับมา
“ผู้นำชุมชนพูดคุยกับผมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และพาผมไปดูที่ที่พวกเขาปลูกป่า ซึ่งเหมือนกับป่าดั้งเดิมเลย” Mariani เล่า “ผมได้รับแรงบันดาลใจจากการได้เห็นพลังแห่งการฟื้นฟูจากธรรมชาติและการที่ความรู้ดั้งเดิมสามารถผสมผสานกับวิทยาศาสตร์ได้”
พนักงาน Symbiosis ยก iPhone ขึ้นมาเพื่อรวบรวมข้อมูลโดยใช้สแกนเนอร์ LiDAR และแอป  ForestScanner
Symbiosis ทำงานร่วมกับบริษัทข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม Space Intelligence เพื่อวัดปริมาณคาร์บอนที่ถูกกักเก็บไว้ในป่า บันทึกข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น พันธุ์ไม้ และจัดเก็บข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์เพิ่มเติมและการวางแผนในอนาคต
จากแผนที่ 3 มิติที่สร้างขึ้นโดยใช้แอปสแกนเนอร์ LiDAR และ ForestScanner บน iPhone นั้น Space Intelligence จะให้ข้อมูลการเติบโตของต้นไม้ โดยวัดจากเส้นผ่านศูนย์กลางที่ความสูงช่วงอก
ห่างจาก Trancoso ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 1,600 ไมล์ มีโครงการ Restore Fund อีกโครงการหนึ่งที่ Forestal Apepu ในเขต San Pedro ประเทศปารากวัย
ในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของป่าแอตแลนติก Forestal Apepu กำลังพัฒนาป่ายูคาลิปตัสที่เติบโตอย่างรวดเร็วสำหรับการผลิตไม้คุณภาพสูงบนที่ดินที่ถูกตัดไม้ทำลายป่าเมื่อหลายสิบปีก่อน ควบคู่ไปกับการปกป้องป่าธรรมชาติที่เหลืออยู่และปลูกพืชพันธุ์พื้นเมืองผ่านการทดลอง การมุ่งเน้นไปที่ไม้คุณภาพสูงที่ได้รับการจัดการตามวงจรการเจริญเติบโตที่ยาวนานขึ้นนั้นทำให้ Forestal Apepu กำจัดคาร์บอนได้มากขึ้นและเก็บรักษาพื้นที่ป่าในระยะยาวได้นานขึ้น พวกเขายังหวังว่าผลิตภัณฑ์ไม้เนื้อแข็งที่ผลิตจากไม้คุณภาพสูงจะช่วยลดแรงกดดันในป่าธรรมชาติ ซึ่งส่งผลให้คาร์บอนถูกกักเก็บไว้ในผลิตภัณฑ์ไม้ที่มีอายุยืนยาวแม้ว่าจะตัดต้นไม้ไปแล้วก็ตาม
ส่วนสำคัญในงานของ Forestal Apepu ขยายออกไปเกินขอบเขตของป่าด้วยการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นผ่านโครงการริเริ่มที่สร้างผลกระทบทางสังคมหลายโครงการรอบๆ San Estanislao ประเทศปารากวัย
ภูมิภาคที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลต้องอาศัยป่าเพื่อหาไม้ ฟืน และสนองความต้องการทางการเกษตรมาหลายชั่วอายุคน Forestal Apepu ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Restore Fund ของ Apple กำลังทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่นเพื่อระบุแหล่งรายได้เสริมอื่นที่จะช่วยลดแรงกดดันต่อป่าไม้ในพื้นที่ แหล่งรายได้เหล่านี้รวมถึงการจ้างงานในฟาร์มยูคาลิปตัสที่ได้รับการรับรองจาก Forest Stewardship Council ของบริษัท การเช่าที่ดินผ่านโมเดลผู้ปลูกนอกสถานที่ (ซึ่งเจ้าของที่ดินรายย่อยจะได้รับต้นกล้าและความช่วยเหลือด้านเทคนิคในการปลูกและจัดการไม้) การเลี้ยงไก่ผ่านสมาคมสตรีในท้องถิ่น และการปลูกชาเยอบามาเต (Yerba mate)
Graciela Gimenez อาศัยอยู่ใน Cururu'o ซึ่งเป็นชุมชนเล็กๆ ที่มีประชากรประมาณ 1,200 คนมาเป็นเวลา 40 ปี ทุกเช้า เธอจะตื่นตี 5 เพื่อเริ่มต้นกิจวัตรประจำวัน เช่น ให้อาหารและเปลี่ยนน้ำให้ไก่ ทำความสะอาดบ้าน ปรุงอาหารให้ครอบครัว และดูแลความต้องการต่างๆ ของสมาคมสตรีที่เธอช่วยสร้างและเป็นประธาน
“ฉันมักจะมีส่วนร่วมในชุมชนนี้เสมอ” Gimenez กล่าว “พวกเขาชอบที่ฉันมีพลังในการทำอะไรมากมาย"
หลังจากการประชุมหลายครั้งกับ Gladys Nuñe เจ้าหน้าที่ประสานงานทางสังคมของ Forestal Apepu Gimenez และสตรีในชุมชนก็มารวมตัวกันเพื่อพัฒนาแหล่งรายได้จากการเลี้ยงไก่ ก่อนหน้านี้ ครัวเรือนมีรายได้ไม่สม่ำเสมอจากการทำงานรายวันในที่ดินใกล้เคียงเป็นหลัก หลังจากที่ Forestal Apepu เพิ่มไก่ 21 ตัวในเล้าของเธอในปี 2023 ปัจจุบัน Gimenez มีไก่ 51 ตัวที่ผลิตไข่และเนื้อสัตว์ให้ครอบครัวได้บริโภคและขายด้วย
“เราต้องดูแลเพื่อนบ้านของเรา ซึ่งควรเป็นพันธมิตรที่ดีของเราด้วย” Nuñez กล่าว “ทุกคนในชุมชนที่ทำงานที่ Apepu รวมถึงตัวฉันเองกำลังเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการป่าไม้ เช่น สุขภาพและความปลอดภัยเกี่ยวกับยาฆ่าแมลง หรือการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้ดีขึ้น การเรียนรู้ในฐานะชุมชนนี้จะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้”
Ramon Mariotti ถือแก้วชาเยอบาเมเตขณะนั่งอยู่บนระเบียงกับเพื่อน
ในปี 1962 Ramon Mariotti (ขวา) และครอบครัวของเขาออกจากภูมิภาค Chaco ไปยังปารากวัยเพื่อไปอยู่ที่ Palomita I ซึ่งพวกเขาจำได้ทันทีถึงดินอันอุดมสมบูรณ์ของบ้านหลังใหม่ของพวกเขา พ่อของ Mariotti เริ่มปลูกชาเยอบามาเต และสอนเขาถึงความซับซ้อนในการเก็บเกี่ยวพืชที่ชาวปารากวัยจำนวนมากพึ่งพาเพื่อดับกระหาย
หลังจากภัยแล้งและการทำลายพื้นที่ปลูกในภูมิภาค Chaco Ramon Mariotti ผู้นำชุมชน Palomita I ที่ตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่นี้ในปี 1962 ได้เริ่มปลูกชาเยอบามาเต ซึ่งเป็นชาสมุนไพรเพียงชนิดเดียวที่ชาวปารากวัยจำนวนมากพอจะหามาช่วยดับกระหายได้ พ่อของ Mariotti สอนเขาเรื่องการเพาะปลูกอย่างละเอียด รวมถึงการดูว่าเมื่อใดที่ใบชาพร้อมให้เก็บ การเก็บด้วยมืออย่างระมัดระวังที่สุด วิธีตากแห้งและบด รวมถึงการตัดสินใจว่าจะขายอะไร
“ตั้งแต่มาถึงที่นี่ เราก็ตระหนักได้ทันทีว่าดินแดนแห่งนี้อุดมสมบูรณ์เพียงใด” Mariotti กล่าว "เหมือนเรามีซูเปอร์มาร์เก็ตธรรมชาติล้อมรอบ และเราจะปลูกอะไรก็ได้”
จากซ้ายไปขวา: (1) Alvaro Ramirez เป็นวิศวกรป่าไม้อาวุโสและ CTO ของ Forestal Apepu ซึ่งรับผิดชอบการปฏิบัติงานบนภาคพื้นดินทั้งหมด (2) วิศวกรป่าไม้ Belén Osario ทำงานร่วมกับ Ramirez และมีหน้าที่ดูแลรักษาแปลงไม้ต่างๆ ในพื้นที่
จากบนลงล่าง: (1) Alvaro Ramirez เป็นวิศวกรป่าไม้อาวุโสและ CTO ของ Forestal Apepu ซึ่งรับผิดชอบการปฏิบัติงานบนภาคพื้นดินทั้งหมด (2) วิศวกรป่าไม้ Belén Osario ทำงานร่วมกับ Ramirez และมีหน้าที่ดูแลรักษาแปลงไม้ต่างๆ ในพื้นที่
Mariotti ได้ทำงานร่วมกับ Alberto Florentín จาก Forestal Apepu เพื่อช่วยขยายการเก็บเกี่ยวและปรับปรุงกระบวนการปลูก รวมถึงดูว่าเมื่อใดที่ควรปลูก และแต่ละต้นควรอยู่ใกล้กันแค่ไหน
Florentín ใช้เวลา 40 ปีในฐานะวิศวกรป่าไม้เดินทางไปทั่วปารากวัย โดยเริ่มจากงานบริการป่าไม้ จากนั้นไปที่ศูนย์อุทยานแห่งชาติที่ Museo Moisés Bertoni ซึ่งเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ เพื่อเกณฑ์เจ้าหน้าที่พิทักษ์อุทยานจากชุมชนชนพื้นเมืองที่เขาพบในพื้นที่นั้น Florentín ยกย่องความรู้ที่เขาได้รับจากการไปเยือนภูมิภาคต่างๆ ของปารากวัยหลายครั้งด้วยความสามารถในการเอาตัวรอดได้ทุกที่ในประเทศ และช่วยให้ผู้อื่นยืนบนลำแข้งบนผืนดินของตัวเองได้อย่างแท้จริง
“ผมอยากแน่ใจว่าผู้คนที่นี่จะเฝ้าดูสิ่งต่างๆ เติบโตได้ และเราจะไม่ทิ้งทะเลทรายไว้ให้คนรุ่นหลัง” Florentín กล่าว “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้สิ่งต่างๆ ยากขึ้นเรื่อยๆ แหล่งน้ำเริ่มขาดแคลน และสิ่งที่เติบโตได้ก็หายากมากขึ้น ดังนั้น ผมจึงต้องการแน่ใจว่าพวกเขาจะมีทรัพยากรทั้งหมดเพื่อการเติบโตต่อไป”
มุมมองระดับสายตาของต้นไม้ในป่าแอตแลนติก
นอกเหนือจากการดำเนินงานด้านป่าไม้และการเข้าถึงชุมชนของ Forestal Apepu แล้ว บริษัทยังได้บุกเบิกแนวทางการติดตามเสียงอะคูสติกชีวภาพเพื่อบันทึกความคืบหน้าในการปรับปรุงความหลากหลายทางชีวภาพบนที่ดิน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก International Climate Initiative ผ่านโครงการ FLILA ฟังเสียงของป่า รวมถึงนกท้องถิ่น แมลง และสัตว์อื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้
นอกเหนือจากโครงการเพื่อชุมชนแล้ว Forestal Apepu ยังมองหาวิธีในการติดตามสุขภาพที่ดีของพื้นที่ป่าอีกด้วย
การทดลองติดตามเสียงทางชีวภาพได้บันทึกเสียงของป่า ซึ่งช่วยให้ทีมนักชีววิทยาพันธมิตรตรวจจับระดับความหลากหลายทางชีวภาพทั่วทั้งป่าโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของระบบได้
ความพยายามในการบันทึก อนุรักษ์ และฟื้นฟูพืชและสัตว์ในแต่ละภูมิภาคทั่วทั้งพื้นที่โครงการของ Forestal Apepu ในปารากวัยและ Symbiosis ในบราซิลอาจดูเหมือนขาดความเชื่อมโยงกัน แต่ถ้าลองเจาะลึกลงไป เราจะพบว่าโครงการทั้งหมดนี้มีเป้าหมายร่วมกัน นั่นคือ การทำให้สถานที่ที่เป็นธรรมชาติที่สุดสามารถกลับสู่สภาพเดิมได้บนโลกใบนี้ที่ถูกละเลยมานานเกินไป
เช่นเดียวกับที่ Mariani จาก Symbiosis จำได้ในตอนที่เขานึกถึงบริษัทเป็นครั้งแรกและในที่สุดก็ทำให้ชื่อของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น “นี่เป็นความร่วมมือระหว่างสายพันธุ์ต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์ต่อกันและกัน ซึ่งตรงกันข้ามกับกาฝาก สิ่งที่ผมอยากทำคือการสร้างภาวะพึ่งพิง ที่จะเกิดประโยชน์แก่ทุกๆ ฝ่าย"
แชร์บทความ

Media

  • เนื้อหาของบทความนี้

  • รูปภาพในบทความนี้

รายชื่อติดต่อสำหรับสื่อมวลชน

ช่องทางให้ความช่วยเหลือของ Apple สำหรับสื่อมวลชน

media.thailand@apple.com