เรามุ่งมั่นที่จะปกป้องข้อมูลของคุณ

ผลิตภัณฑ์และคุณสมบัติต่างๆ ของเรามาพร้อมเทคโนโลยีความเป็นส่วนตัวที่ล้ำหน้าและเทคนิคต่างๆ ที่ออกแบบมาเพื่อให้เราหรือคนอื่นๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลของคุณได้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยอันทรงพลังเพื่อป้องกันไม่ให้ใครสามารถเข้าถึงข้อมูลของคุณได้นอกจากตัวคุณเท่านั้น และในเวลาเดียวกันเราก็พยายามสร้างสรรค์วิธีใหม่ๆ เพื่อดูแลข้อมูลของคุณให้ปลอดภัยอยู่เสมอ

Safari

Safari คือเบราว์เซอร์ที่มาพร้อมคุณสมบัติอันล้ำสมัย
ที่จะช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณ ป้องกันคุณจากการติดตามข้ามไซต์ และลดข้อมูลที่ส่งต่อไปยังบริษัทอื่นให้เหลือน้อยที่สุด โดยการท่องเว็บแบบส่วนตัวจะช่วยเพิ่มการปกป้องมากยิ่งขึ้น เช่นการล็อคหน้าต่างเมื่อคุณไม่ได้ใช้งาน

ดูรายงานอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของ Safari (PDF)

พาสคีย์

พาสคีย์เข้ามาแทนที่รหัสผ่านโดยมีวิธีลงชื่อเข้าใช้ที่ง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น ทั้งยังไม่มีการเก็บไพรเวทคีย์ของคุณไว้บนเว็บเซิร์ฟเวอร์อย่างเด็ดขาด คุณจึงไม่ต้องกังวลว่าการรั่วไหลของข้อมูลบนเว็บไซต์จะทำให้บัญชีของคุณตกอยู่ในอันตราย ซึ่งพาสคีย์จะไม่มีวันออกไปนอกอุปกรณ์ของคุณและถูกเจาะจงมาเพื่อใช้บนเว็บไซต์ที่คุณสร้างพาสคีย์นั้นไว้เท่านั้น จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้วิธีหลอกลวงแบบฟิชชิ่งเพื่อให้ได้พาสคีย์มา นอกจากนี้ พาสคีย์ยังได้รับการเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง และยังซิงค์ตรงกันระหว่างอุปกรณ์ Apple ต่างๆ ของคุณผ่านคุณสมบัติพวงกุญแจ iCloud เพียงแค่ใช้ Face ID หรือ Touch ID บนอุปกรณ์ Apple ก็ลงชื่อเข้าใช้ได้เลย และสำหรับเว็บไซต์หรือแอปบนอุปกรณ์ที่ไม่ใช่ของ Apple ก็สามารถใช้พาสคีย์ที่บันทึกไว้ได้โดยการสแกนรหัส QR ด้วย iPhone หรือ iPad แล้วใช้ Face ID หรือ Touch ID เพื่อยืนยันตัวตน

การป้องกันการติดตามอัจฉริยะ

คุณอาจจะเคยสังเกตว่าเวลาหาซื้ออะไรบางอย่างทางออนไลน์ ทันใดนั้นก็จะเริ่มเห็นสิ่งนั้นติดตามไปในทุกๆ เว็บที่คุณไป สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อบริษัทอื่นติดตามคุกกี้และข้อมูลเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อแสดงโฆษณาให้คุณเห็น
บนเว็บไซต์ต่างๆ

ซึ่งคุณสมบัติการป้องกันการติดตามอัจฉริยะจะใช้การเรียนรู้ของระบบและระบบอัจฉริยะในตัวอุปกรณ์แบบล่าสุดเพื่อป้องกันการติดตามข้ามไซต์ โดยคุณสมบัตินี้จะซ่อนที่อยู่ IP ของคุณไม่ให้ผู้ที่ติดตามเห็น ดังนั้นสิ่งที่คุณดูบนเว็บก็ยังคงเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ ไม่ใช่ของผู้โฆษณา และคุณยังได้รับการปกป้องทั้งหมดนี้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนการตั้งค่าใดๆ อีกด้วย เพราะคุณสมบัติการป้องกันการติดตามอัจฉริยะนั้นทำงานอยู่แล้วตามค่าเริ่มต้น

รายงานความเป็นส่วนตัว

รายงานความเป็นส่วนตัวของคุณจะแสดงตัวติดตามข้ามเว็บไซต์ทั้งหมดที่ถูกบล็อคโดยคุณสมบัติการป้องกันการติดตามอัจฉริยะใน Safari ซึ่งคุณสามารถเข้าดูรายงานได้จากแถบเครื่องมือ Safari และในหน้าเริ่มต้นของ Safari

การตรวจดูรหัสผ่าน

Safari จะตรวจดูว่ารหัสผ่านพวงกุญแจที่คุณบันทึกไว้อยู่ในข่ายที่มีการรั่วไหลของข้อมูลมาก่อนหรือไม่ โดยจะใช้เทคนิคการเข้ารหัสที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวเพื่อหมั่นตรวจสอบค่าที่ได้จากรหัสผ่านของคุณเทียบกับรายการรหัสผ่านที่มีการรั่วไหลอยู่เป็นประจำ และหาก Safari ตรวจพบรหัสผ่านที่เข้าข่ายเป็นไปได้ อุปกรณ์ก็จะแจ้งเตือนให้คุณทราบ โดยข้อมูลรหัสผ่านของคุณจะไม่ถูกเปิดเผยเพราะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ แม้แต่กับ Apple เองก็ตาม

การป้องกันการติดตาม
จากโซเชียลวิดเจ็ต

โซเชียลวิดเจ็ตที่ฝังอยู่ในเว็บไซต์ต่างๆ อย่างปุ่มถูกใจ ปุ่มแชร์ และช่องแสดงความเห็น สามารถใช้
ในการติดตามคุณได้ ถึงแม้คุณจะไม่ได้คลิกหรือใช้วิดเจ็ตเหล่านั้นเลยก็ตาม โดย Safari จะบล็อค
การติดตามนี้อยู่แล้วเป็นค่าเริ่มต้น เพื่อป้องกัน
ไม่ให้โซเชียลวิดเจ็ตรู้ว่าคุณเป็นใคร เว้นแต่
คุณจะอนุญาต

การป้องกันการสะกดรอย

Safari ป้องกันไม่ให้ผู้โฆษณาและเว็บไซต์ใช้ลักษณะเฉพาะที่ไม่ซ้ำกันในอุปกรณ์แต่ละเครื่องมาประกอบกันในการสร้าง "ลายนิ้วมือ" เพื่อใช้ติดตามคุณได้ ซึ่งลักษณะเฉพาะเหล่านี้มีตั้งแต่การกำหนดค่าของอุปกรณ์และเบราว์เซอร์ ไปจนถึงฟอนต์และปลั๊กอินที่คุณติดตั้งไว้ แต่ Safari ต่อกรกับการสะกดรอยลักษณะนี้โดยการแสดงข้อมูลการกำหนดค่าระบบ
ในแบบที่ผ่านการปรับลดรายละเอียดแล้ว ทีนี้อุปกรณ์หลายเครื่องก็จะดูเหมือนๆ กันไปหมด ทำให้ผู้ติดตามระบุว่าอุปกรณ์เครื่องไหนเป็นของคุณได้ยากขึ้น
อีกทั้งการปกป้องนี้ยังทำงานอยู่แล้วเป็นค่าเริ่มต้น
โดยที่คุณไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมเลย

เลือกชมเว็บแบบส่วนตัว

เมื่อคุณเปิดใช้การท่องเว็บแบบส่วนตัว Safari จะไม่เพิ่มเว็บไซต์ที่คุณเปิดลงในประวัติการเข้าชม ไม่จดจำสิ่งที่คุณค้นหา หรือบันทึกข้อมูลใดๆ จากแบบฟอร์มออนไลน์ที่คุณกรอก นอกจากนี้การป้องกันการติดตามขั้นสูงและการทำลายนิ้วมือก็จะทำงานเหนือชั้นขึ้นไปอีกขั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เว็บไซต์ต่างๆ ติดตามหรือระบุอุปกรณ์ของคุณได้ โดยตัวติดตามที่รู้จักจะถูกปิดกั้นไม่ให้โหลดบนหน้าเว็บโดยเด็ดขาด และคุณสมบัติการป้องกันการติดตามลิงก์ก็จะถอนการติดตามการระบุตัวตนที่เพิ่มมาใน URL ขณะที่คุณกำลังท่องเว็บด้วย ซึ่งการรองรับตัวปิดกั้นเนื้อหานั้นได้รับการออกแบบมาเพื่อไม่ให้ส่งข้อมูลกลับไปยังนักพัฒนาว่าคุณกำลังดูอะไรอยู่ และหน้าต่างการท่องเว็บแบบส่วนตัวก็จะล็อคหน้าต่างของคุณโดยอัตโนมัติเมื่อคุณไม่ได้ใช้งาน ซึ่งจำเป็นต้องใช้รหัสผ่านอุปกรณ์ของคุณในการปลดล็อค

ค้นหา

ช่องค้นหาอัจฉริยะใน Safari ให้คุณพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ ที่อยู่เว็บ หรือคำค้นหาได้ทั้งหมดในที่เดียว และ Safari ยังลดปริมาณข้อมูลที่ส่งไปยังเสิร์ชเอนจิ้นของบริษัทอื่นอีกด้วย เช่น จะไม่แชร์คุกกี้หรือตำแหน่งที่ตั้งที่แน่นอนของคุณ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หากคุณค้นหาด้วย
วิธีอื่น นอกจากนี้ Safari ยังมาพร้อมตัวเลือกที่สามารถกำหนดให้ DuckDuckGo เป็นเสิร์ชเอนจิ้น
เริ่มต้นได้ ทีนี้คุณก็สามารถค้นหาเว็บโดย
ไม่ถูกติดตามอีกต่อไป

ตัวควบคุมส่วนขยาย

ส่วนขยายของเบราว์เซอร์สามารถช่วยคุณทำสิ่งต่างๆ ได้มากมาย เช่น ช่วยคุณประหยัดเงินเมื่อซื้อสินค้า หรือปรับปรุงไวยากรณ์ของคุณ แต่ส่วนขยายก็ยังสามารถใช้ติดตามคุณได้เช่นกัน ทั้งจดบันทึกสิ่งที่คุณเยี่ยมชมบนเว็บไซต์ และแม้แต่สิ่งที่คุณพิมพ์ ซึ่งด้วยตัวควบคุมส่วนขยายของ Safari นั้นก็จะทำให้คุณสามารถกำหนดสิทธิ์ใช้งานให้ส่วนขยายเข้าถึงข้อมูลของคุณได้ เช่น เพียงหนึ่งวัน เฉพาะเว็บไซต์นี้ หรือตลอดไป

แผนที่

การปรับแต่งคุณสมบัติต่างๆ ให้เหมาะกับ
ความต้องการของคุณนั้นจะใช้ข้อมูลที่อยู่ในอุปกรณ์ของคุณเอง อีกทั้งข้อมูลที่ส่งจากอุปกรณ์ของคุณ
ไปยังบริการแผนที่ยังถูกเชื่อมโยงกับตัวบ่งชี้แบบสุ่มด้วย ดังนั้น Apple จึงไม่มีข้อมูลประวัติการเคลื่อนที่หรือการค้นหาของคุณ

ปรับแต่งให้เป็นคุณ

คุณสมบัติที่มีประโยชน์หลายๆ อย่าง เช่น การหารถ
ที่คุณจอดไว้นั้นจะใช้ข้อมูลที่อยู่ในอุปกรณ์ของคุณเอง ซึ่งช่วยลดปริมาณข้อมูลที่ส่งมายังเซิร์ฟเวอร์ของ Apple

การเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง

แอปแผนที่จะซิงค์ข้อมูลส่วนตัวของคุณในทุกอุปกรณ์ด้วยการเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง สถานที่สำคัญและคอลเลกชั่นต่างๆ ของคุณจะถูกเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ดังนั้น Apple จึงไม่สามารถอ่านข้อมูลได้ แม้แต่ในกรณีที่คุณแชร์เวลา
ที่คาดว่าจะไปถึงกับผู้ใช้แอปแผนที่คนอื่นๆ Apple ก็ยังไม่สามารถเห็นตำแหน่งที่คุณอยู่ได้เช่นกัน

ตัวบ่งชี้แบบสุ่ม

เมื่อเริ่มใช้แอปแผนที่ คุณไม่ต้องลงชื่อเข้าใช้ เพราะข้อมูลที่แอปแผนที่เก็บรวบรวมในขณะที่คุณใช้แอป ไม่ว่าจะเป็นคำค้นหา เส้นทางที่ใช้ในการนำทาง และข้อมูลการจราจรจะผูกอยู่กับตัวบ่งชี้แบบสุ่ม ไม่ใช่กับ Apple ID ของคุณ และที่สำคัญตัวบ่งชี้เหล่านี้จะรีเซ็ตตัวเองในขณะที่คุณใช้แอปเพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด รวมถึงเพื่อปรับปรุงการทำงานของแอปแผนที่ให้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง ซึ่งเมื่อไหร่ที่คุณแชร์การให้คะแนนหรือรูปภาพด้วยแอปแผนที่ ข้อมูลที่คุณแชร์จะเชื่อมโยงกับ Apple ID ของคุณ

การอำพรางตำแหน่งที่ตั้ง

แอปแผนที่ยังทำงานเหนือชั้นขึ้นไปอีกขั้นด้วยการซ่อนตำแหน่งที่ตั้งของคุณบนเซิร์ฟเวอร์ Apple ทุกครั้งที่คุณค้นหา โดยใช้กระบวนการที่เรียกว่า "การอำพราง" ทั้งนี้ก็เพราะตำแหน่งที่ตั้งของคุณอาจเผยให้รู้ว่าคุณเป็นใคร แอปแผนที่จึงเปลี่ยนตำแหน่งที่ตั้งที่แน่นอนขณะที่คุณค้นหาให้กลายเป็นแบบไม่เจาะจง หลังจากผ่านไปแล้ว 24 ชั่วโมง โดยที่ Apple ก็จะไม่เก็บประวัติการค้นหาของคุณหรือสถานที่ที่คุณ
เคยอยู่ด้วยเช่นกัน

ส่วนขยายของแอปแผนที่

ส่วนขยายของแอปแผนที่ซึ่งถูกใช้ในแอปบริการ
เรียกรถ และแอปการจองจะทำงานใน Sandbox
ของตัวเอง และแชร์การอนุญาตกับแอปหลักของตน
สำหรับแอปบริการเรียกรถ แอปแผนที่จะแชร์เฉพาะ
จุดเริ่มต้นและจุดหมายปลายทางของคุณให้กับ
ส่วนขยาย และเมื่อคุณจองโต๊ะที่ร้านอาหาร
ส่วนขยายจะรู้เฉพาะจุดที่น่าสนใจ
ที่คุณเคยแตะดูเท่านั้น

รูปภาพ

การจำใบหน้าและการตรวจจับฉากและวัตถุจะเกิดขึ้นบนอุปกรณ์ของคุณเท่านั้น ไม่ใช่ในคลาวด์ ด้วยวิธีนี้ Apple จึงสามารถให้บริการคุณสมบัติอันล้ำสมัยเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องเข้าถึงรูปภาพของคุณ ส่วนแอปต่างๆ จะเข้าถึงรูปภาพของคุณได้ก็ต่อเมื่อคุณอนุญาตแล้วเท่านั้น

ล็อคอัลบั้มที่ซ่อนอยู่และที่ลบล่าสุดในแอปรูปภาพ

อัลบั้มที่ซ่อนอยู่และอัลบั้มที่ลบล่าสุดในแอปรูปภาพจะถูกล็อคไว้เป็นค่าเริ่มต้น และคุณสามารถปลดล็อคได้โดยใช้วิธีการยืนยันตัวตนของอุปกรณ์คุณ ไม่ว่าจะด้วย Face ID, Touch ID หรือรหัสผ่านของคุณ

ความทรงจำ
และคำแนะนำการแชร์

คุณสมบัติความทรงจำและคำแนะนำการแชร์ในแอปรูปภาพจะใช้ระบบอัจฉริยะในตัวอุปกรณ์เพื่อวิเคราะห์รูปภาพของคุณ และจัดระเบียบโดยแยกตามใบหน้า สถานที่ และอื่นๆ เพื่อช่วยให้คุณหารูปภาพที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย และเพราะทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนอุปกรณ์ของคุณ Apple จึงสามารถให้บริการคุณสมบัติอันล้ำสมัยเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องเข้าถึงรูปภาพของคุณ

รูปภาพ iCloud

หากคุณเลือกที่จะสำรองข้อมูลคลังรูปภาพไว้ในรูปภาพ iCloud แล้วล่ะก็ Apple จะปกป้องรูปภาพที่อยู่บนเซิร์ฟเวอร์ของเราด้วยการเข้ารหัส โดยที่คุณสามารถแชร์ข้อมูลรูปภาพ เช่น ตำแหน่งที่ตั้งหรืออัลบั้มที่จัดเรียงตามสถานที่ระหว่างอุปกรณ์ของคุณที่เปิดใช้งานรูปภาพ iCloud ได้ นั่นหมายความว่าถึงจะเลือกปิดรูปภาพ iCloud เอาไว้ คุณก็ยังคงสามารถใช้การวิเคราะห์ในตัวอุปกรณ์ได้ตามเดิม

การควบคุมการแชร์

MacOS, iOS และ iPadOS ให้คุณเลือกได้ว่า
ต้องการใส่สถานที่ที่ถ่ายรูปนั้น ประวัติการแก้ไข
และข้อมูลมิติความลึกไว้ในภาพที่คุณแชร์หรือไม่
ไม่ว่าคุณจะแชร์ให้เพื่อนหรือแชร์ลงในแอปก็ตาม

การอนุญาตแอปของบริษัทอื่น

ตัวเลือกรูปภาพจะช่วยคุณเลือกรูปภาพที่ต้องการแชร์กับแอป โดยที่ยังปกป้องคลังส่วนที่เหลือให้เป็นส่วนตัว เมื่อแอปร้องขอการเข้าถึงคลังรูปภาพทั้งหมดของคุณ คุณก็จะเห็นจำนวนรูปภาพและวิดีโอที่แอปสามารถเข้าถึงได้ รวมถึงตัวอย่างการนำไปใช้และแชร์ต่อ นอกจากนี้คุณยังจะได้รับการเตือนความจำเป็นครั้งคราว เพื่อให้คุณสามารถตรวจสอบสิ่งที่คุณแชร์ และเปลี่ยนแปลงได้ตามต้องการ

แอป

หากมีแอปใดขออนุญาตเข้าถึงรูปภาพของคุณ คุณก็สามารถเลือกได้ว่ารูปภาพใดที่คุณต้องการแชร์โดยไม่จำเป็นต้องอนุญาตให้เข้าถึงรูปภาพทั้งหมดในคลัง หรือหากมีแอปใดที่ต้องการเพิ่มรูปภาพเข้าไปในคลังของคุณ คุณก็สามารถอนุญาตให้แอปทำได้โดยไม่ต้องเข้าถึงรูปภาพที่คุณมี และคุณยังเลือกอนุญาตให้แอปเข้าถึงรูปภาพในแบบทั่วไปได้อีกด้วย

FaceTime, แอปข้อความ และอีกมากมาย

การสนทนาใน iMessage และ FaceTime ได้รับ
การเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง จึงไม่สามารถถูกเปิดอ่านในขณะรับส่งระหว่างอุปกรณ์ได้ และแอปเมลยังช่วยซ่อนกิจกรรมของคุณจากผู้ส่งที่ไม่พึงประสงค์อีกด้วย

เมล

คุณสมบัติการปกป้องความเป็นส่วนตัวของเมลช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณจากผู้ส่งอีเมลที่สอดรู้สอดเห็น โดยคุณสมบัตินี้จะซ่อนที่อยู่ IP ของคุณ ทีนี้ผู้ส่งก็จะไม่สามารถสร้างโปรไฟล์โดยใช้กิจกรรมออนไลน์อื่นๆ ของคุณ หรือมองเห็นว่าคุณอยู่ที่ไหน และไม่รู้ด้วยว่าคุณเปิดอ่านอีเมลแล้วหรือยัง

การเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง

การเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง
ช่วยปกป้องการสนทนาทาง iMessage และ
FaceTime ในอุปกรณ์ทุกเครื่องของคุณ โดยใน
watchOS, iOS และ iPadOS นั้น ข้อความต่างๆ
จะได้รับการเข้ารหัสไว้บนอุปกรณ์ของคุณ ซึ่งถ้าไม่มี
รหัสผ่านของคุณก็จะไม่สามารถเปิดอ่านได้ ยิ่งกว่านั้น
iMessage และ FaceTime ยังออกแบบมาในแบบ
ที่ Apple เองก็ไม่สามารถอ่านข้อความขณะที่รับส่ง
ระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ได้ นอกจากนี้คุณยังสามารถเลือกได้ว่าจะให้ลบข้อความออกจากเครื่องโดยอัตโนมัติเมื่อครบ 30 วัน หรือ 1 ปี หรือจะเลือก
เก็บไว้บนอุปกรณ์แบบไม่มีกำหนดเลยก็ได้

FaceTime

Apple ไม่จัดเก็บข้อมูลการโทร FaceTime และ
การโทร FaceTime แบบกลุ่มไว้บนเซิร์ฟเวอร์ของเรา และในขณะที่รับส่งข้อมูล การโทรเหล่านี้ยังได้รับการ
เข้ารหัสเพื่อปกป้องตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง
อีกด้วย คราวนี้ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าร่วมการโทร FaceTime แบบตัวต่อตัวและแบบกลุ่มจากเบราว์เซอร์ได้ทันทีพร้อมด้วยการปกป้องความเป็นส่วนตัวใน
ระดับเดียวกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ Apple หรือล็อกอิน

นอกจากนี้ตั้งแต่ iOS 15, iPadOS 15 และ macOS Monterrey เป็นต้นไป คุณสามารถส่งลิงก์ให้กับเพื่อนและครอบครัวเพื่อให้ทุกคนต่อติดถึงกันบน FaceTime ได้แล้ว ซึ่งต่อให้พวกเขาจะใช้ Windows หรือ
Android ก็ไม่มีปัญหา1 การโทรก็ยังคงได้รับการเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ดังนั้นการโทรของคุณจึงเป็นส่วนตัวและปลอดภัยเช่นเดียวกับการโทร FaceTime ในทุกครั้ง

ใหม่

NameDrop

NameDrop คือคุณสมบัติใน AirDrop ที่ให้คุณถือ iPhone ของคุณไว้ใกล้ๆ กับ iPhone อีกเครื่องเพื่อแชร์ข้อมูลรายชื่อกับผู้รับที่คุณต้องการเท่านั้น ทั้งยังเลือกแชร์เฉพาะข้อมูลติดต่อที่ต้องการได้ และที่สำคัญไม่แพ้กันอย่างข้อมูลที่ไม่ต้องการแชร์ก็เลือกได้ด้วยเช่นกัน

แอป iMessage

แอป iMessage ซึ่งให้คุณแชร์สติกเกอร์ เพลง
และอื่นๆ โดยไม่ต้องออกจากแอปข้อความนั้น
จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลติดต่อที่แท้จริงของ
ผู้ร่วมสนทนาหรือบทสนทนาของคุณได้ เพราะ
iOS และ iPadOS จะกำหนดตัวบ่งชี้แบบสุ่มให้
กับผู้ร่วมสนทนาแต่ละคนสำหรับในแต่ละแอป
ซึ่งจะมีการรีเซ็ตเมื่อมีการลบแอปดังกล่าว
ออกจากเครื่อง

ใหม่

การป้องกัน
การติดตามลิงก์

เมื่อคุณแชร์ลิงก์ในแอปข้อความ ข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์บางแห่งใส่เพิ่มใน URL จะถูกลบออก เพื่อป้องกันไม่ให้มีการติดตามการใช้งานของคุณหรือคนอื่นที่คุณแชร์ลิงก์ด้วย

ข้อมูลสำรอง iCloud

ข้อความ iMessage และ SMS จะได้รับการสำรองข้อมูลไว้บน iCloud เพื่อความสะดวกของคุณ แต่คุณสามารถปิดการสำรองข้อมูลบน iCloud นี้ได้ทุกเมื่อ ถ้าไม่ต้องการใช้งาน และ Apple ก็จะไม่เก็บข้อมูล
การโทร FaceTime ไว้บนเซิร์ฟเวอร์ใดๆ เช่นกัน

SharePlay

SharePlay ช่วยให้คุณสามารถแชร์ประสบการณ์
จากแอปของ Apple หรือแอปของบริษัทอื่นขณะ
โทร FaceTime ได้ และคอนเทนต์ที่แอปแลกเปลี่ยนกันผ่าน SharePlay ก็จะได้รับการเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางเหมือนกับการโทร FaceTime อื่นๆ

Siri

Siri ได้รับการออกแบบมาให้เรียนรู้ให้ได้มากที่สุด
เท่าที่จะทำได้ในขณะออฟไลน์ บนอุปกรณ์ของคุณเอง
โดยการค้นหาและคำขอจะถูกเชื่อมโยงกับตัวบ่งชี้แบบสุ่ม ซึ่งเป็นตัวอักษรและตัวเลขเรียงต่อกันยาวๆ
แทนที่จะเป็น Apple ID ของคุณ

คำแนะนำในตัวอุปกรณ์

เมื่อคุณขอให้ Siri อ่านหรือค้นหาข้อมูลในอุปกรณ์ของคุณ​ เช่น ในข้อความและโน้ต และเมื่อ Siri แนะนำผลลัพธ์ต่างๆ รวมถึงผ่านทางวิดเจ็ตและคุณสมบัติค้นหาโดย Siri ข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดของคุณจะถูกเก็บไว้ในอุปกรณ์ของคุณโดยไม่มีการส่งมาที่เซิร์ฟเวอร์ของ Apple นอกจากนี้ คุณสมบัติคำแนะนำโดย Siri ในคีย์บอร์ด QuickType ก็อาศัยกระบวนการทางภาษาในรูปแบบโครงข่ายประสาทที่ Apple พัฒนาขึ้นเพื่อให้ทำงานบนอุปกรณ์ของคุณได้โดยตรง

ตัวบ่งชี้แบบสุ่ม

ถึงแม้ว่า Apple จะพยายามทำสิ่งต่างๆ ในตัวอุปกรณ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เมื่อคุณใช้คุณสมบัติบางอย่าง เช่น การขอ Siri ด้วยเสียงพูด หรือการค้นหาใน Spotlight และ Safari แต่เซิร์ฟเวอร์ของ Apple ก็ยังต้องการข้อมูลที่คุณป้อนแบบเรียลไทม์อยู่ และเมื่อจำเป็นต้องส่งข้อมูลไปที่เซิร์ฟเวอร์ เราก็จะปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณโดยใช้ตัวบ่งชี้แบบสุ่ม แทนที่จะเป็น Apple ID ของคุณ นอกจากนี้ยังอาจมีการส่งข้อมูลอย่างตำแหน่งที่ตั้งของคุณมายัง Apple เพื่อปรับปรุงความแม่นยำของการตอบกลับ โดยที่คุณสามารถปิดบริการหาตำแหน่งที่ตั้งได้ทุกเมื่อ

การประมวลผล
ในตัวอุปกรณ์

การประมวลผลเสียงคำสั่งของคุณจะเกิดขึ้นบนอุปกรณ์ของคุณทั้งหมด เว้นแต่ว่าคุณได้เลือกที่จะแชร์ข้อมูลกับ Apple และด้วย Apple Neural Engine ทำให้สามารถใช้โมเดลการจำเสียงพูดที่มีคุณภาพสูงในระดับเดียวกับการจำเสียงพูดที่อาศัยเซิร์ฟเวอร์ได้2

Siri
และการป้อนตามคำบอก

ยิ่งคุณใช้งาน Siri และคุณสมบัติการป้อนตามคำบอกมานานขึ้นเท่าไหร่ ระบบก็จะเข้าใจและปรับปรุงการทำงานได้ดียิ่งขึ้น นั่นเพราะข้อมูลบางส่วน เช่น ชื่อของผู้ติดต่อ หรือเพลง หนังสือ และพ็อดคาสท์ที่คุณฟังจะถูกส่งไปที่เซิร์ฟเวอร์ของ Apple โดยใช้โปรโตคอลที่เข้ารหัส เพื่อช่วยให้ Siri และคุณสมบัติการป้อนตามคำบอกสามารถจดจำวิธีที่คุณออกเสียงพูด และตอบสนองต่อความต้องการของคุณได้ดียิ่งกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม การทำงานของ Siri และคุณสมบัติการป้อนตามคำบอกจะไม่เชื่อมโยงข้อมูลเหล่านี้กับ Apple ID ของคุณ แต่จะเป็นตัวบ่งชี้แบบสุ่มที่อุปกรณ์ของคุณสร้างขึ้นแทน และคุณสามารถรีเซ็ตตัวบ่งชี้เหล่านี้ได้ทุกเมื่อ เพียงปิด Siri และคุณสมบัติการป้อนตามคำบอกแล้วเปิดใหม่เพื่อเริ่มการใช้งานระหว่างคุณกับคุณสมบัตินี้อีกครั้ง เพราะเมื่อใดที่มีการปิดใช้งาน Siri และคุณสมบัติการป้อนตามคำบอก ข้อมูล Siri ของคุณที่เกี่ยวข้องกับตัวบ่งชี้ Siri ก็จะถูกลบไปด้วย เพื่อเตรียมรองรับกระบวนการเรียนรู้ครั้งใหม่เมื่อคุณเปิดใช้งาน Siri อีกครั้ง โดยการป้อนตามคำบอกบนอุปกรณ์จะช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณให้รัดกุมยิ่งขึ้น ด้วยการประมวลผลทุกสิ่งทุกอย่างแบบออฟไลน์

การปรับปรุง Siri
และการป้อนตามคำบอก

ตามค่าเริ่มต้นแล้ว Apple จะไม่เก็บเสียงบันทึกการโต้ตอบกับ Siri และคุณสมบัติการป้อนตามคำบอกไว้ แต่จะใช้บทสนทนาที่ถอดเสียงโดยคอมพิวเตอร์เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของ Siri และคุณสมบัติการป้อนตามคำบอกแทน โดยที่คุณสามารถเลือกที่จะช่วยปรับปรุง Siri ได้ โดยการอนุญาตให้ Apple จัดเก็บและศึกษาเสียงการโต้ตอบระหว่างคุณกับ Siri และคุณสมบัติการป้อนตามคำบอก ซึ่งคุณจะปิดเมื่อไหร่ก็ได้ โดยที่ตัวอย่างเสียงเหล่านี้จะถูกเชื่อมโยงกับตัวบ่งชี้แบบสุ่ม แทนที่จะเป็น Apple ID ของคุณ นอกจากนี้ คุณยังสามารถลบคำขอทั้งหมดที่คุณมีกับ Siri และคุณสมบัติการป้อนตามคำบอกที่เชื่อมโยงอยู่กับตัวบ่งชี้แบบสุ่มออกจากเซิร์ฟเวอร์ของ Apple ได้ทุกเมื่อ ซึ่งรวมไปถึงเสียงบันทึกและบทสนทนาที่ถอดเสียงโดยคอมพิวเตอร์ด้วย แต่คุณอาจไม่สามารถลบคำขอที่เก่าเกินกว่า 6 เดือน และตัวอย่างคำขอส่วนเล็กๆ ที่ผ่านการศึกษาแล้ว เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวจะไม่ได้เชื่อมโยงอยู่กับตัวบ่งชี้แบบสุ่มอีกต่อไป

ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติถาม Siri
และความเป็นส่วนตัว

คำแนะนำใน Spotlight และ Safari

เมื่อคุณใช้ Safari หรือ Spotlight ใน iOS, iPadOS หรือ macOS การค้นหาของคุณจะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Apple พร้อมข้อมูลประกอบต่างๆ อย่างตำแหน่งที่ตั้งของคุณหรือสิ่งที่คุณทำในเซสชั่นการค้นหานั้น เพื่อให้สามารถแสดงคำแนะนำที่มีความเกี่ยวข้องมากที่สุด โดยข้อมูลนี้จะถูกเชื่อมโยงกับตัวบ่งชี้แบบสุ่ม ไม่ใช่กับ Apple ID จึงไม่มีทางเลยที่จะเชื่อมโยงการค้นหาและตำแหน่งที่ตั้งกับตัวคุณได้ ส่วนคำแนะนำใน Spotlight และ Safari นั้นก็จะมีการสร้างตัวบ่งชี้แบบสุ่มขึ้นมาใหม่ทุกๆ 15 นาที และไม่มีการแชร์ตำแหน่งที่ตั้งที่แน่นอนของคุณกับเซิร์ฟเวอร์ แต่จะเป็นการส่งตำแหน่งที่ตั้งโดยประมาณของคุณด้วยการใช้การอำพรางตำแหน่งที่ตั้งแทน นอกจากนี้คุณยังเลือกปิดคำแนะนำใน Spotlight และ Safari ได้อีกด้วย ซึ่งหากคุณเลือกปิดคำแนะนำตามตำแหน่งที่ตั้ง Apple ก็จะยังคงใช้ที่อยู่ IP ของคุณในการระบุตำแหน่งคร่าวๆ เพื่อแสดงคำแนะนำที่มีความเกี่ยวข้องมากขึ้น

ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำแนะนำโดย Siri
และความเป็นส่วนตัว

กระเป๋าสตางค์

แอปกระเป๋าสตางค์ช่วยเก็บกุญแจ บัตรเครดิตและบัตรเดบิต บัตรโดยสาร บัตรผ่านขึ้นเครื่อง ตั๋ว และอีกมากมายได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น

กุญแจและบัตรผ่าน

คุณสามารถเพิ่มทั้งบัตรผ่านของบริษัท อีกทั้งกุญแจบ้าน โรงแรม และรถรวมไว้ในที่เดียวในแอปกระเป๋าสตางค์ได้อย่างสะดวกสบาย โดยที่
บัตรผ่านและกุญแจจะได้รับการปกป้องและ
จัดเก็บไว้ในองค์ประกอบแบบปลอดภัยบนอุปกรณ์ของคุณ3

สุขภาพ

ผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพของ Apple ออกแบบมาเพื่อช่วยปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของคุณ โดยคุณสามารถควบคุมได้ว่าจะให้ข้อมูลอะไรไปปรากฏบนแอปสุขภาพ รวมถึงจะให้แอปไหนเข้าถึงข้อมูลของคุณผ่านทางแอปสุขภาพได้บ้าง

ดูรายงานอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวด้านสุขภาพ (PDF)

ข้อมูลที่เข้ารหัส

คุณสามารถกำหนดได้ว่าจะให้ข้อมูลอะไรไปปรากฏบนแอปสุขภาพ และใครบ้างที่สามารถเข้าถึงข้อมูลของคุณได้ และเมื่อโทรศัพท์ของคุณถูกล็อคด้วยรหัสผ่าน, Touch ID หรือ Face ID ข้อมูลสุขภาพและฟิตเนสทั้งหมดที่อยู่ในแอปสุขภาพก็จะถูกเข้ารหัส โดยไม่รวมข้อมูล ID ทางแพทย์ไปด้วย นอกจากนี้ข้อมูลในแอปสุขภาพใดๆ ก็ตามที่สำรองไว้ใน iCloud ก็จะได้รับการเข้ารหัสทั้งในระหว่างรับส่งและเมื่ออยู่บนเซิร์ฟเวอร์ของเรา ยิ่งไปกว่านั้น หากคุณใช้ watchOS และ iOS เวอร์ชั่นที่เพิ่งออกมาใหม่ และเปิดใช้การตรวจสอบสิทธิ์สองปัจจัยและรหัสผ่านด้วยแล้ว คุณก็จะสามารถสำรองข้อมูลสุขภาพและกิจกรรมต่างๆ ในแบบที่ Apple เองก็อ่านไม่ได้

การแชร์
และการลบกิจกรรม

คุณสามารถเลือกแชร์ข้อมูลกิจกรรมจาก Apple Watch ของคุณกับผู้ใช้คนอื่นๆ ได้ และหากคุณตัดสินใจที่จะหยุดแชร์ข้อมูลในภายหลัง ระบบจะสั่งให้ iPhone ของผู้ใช้รายนั้นลบประวัติข้อมูลที่เคยเก็บไว้ในแอปฟิตเนสออก และคุณยังสามารถซ่อนกิจกรรมของคุณได้ชั่วคราวอีกด้วย

การแชร์ข้อมูลสุขภาพ

แชร์ข้อมูลสุขภาพกับคนสำคัญของคุณ และเลือกได้ด้วยว่าต้องการแชร์ข้อมูลและแนวโน้มอะไรบ้าง อย่างเช่นสุขภาพหัวใจ, กิจกรรม, ผลแล็บ, สัญญาณชีพ, ID ทางแพทย์, การติดตามรอบเดือน และอีกมากมาย

HealthKit

HealthKit ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอป
ด้านสุขภาพและฟิตเนสเพื่อแชร์ข้อมูลกับแอป
สุขภาพ รวมไปถึงการแชร์ข้อมูลซึ่งกันและกันได้
และในฐานะผู้ใช้ คุณก็ควบคุมได้ว่าต้องการแชร์ข้อมูล 
HealthKit ส่วนใดกับแอปไหนบ้าง อีกทั้ง Apple
ยังกำหนดให้ทุกๆ แอปใน App Store ต้องแจ้ง
นโยบายความเป็นส่วนตัวเพื่อให้คุณได้ตรวจสอบ
ซึ่งรวมถึงแอปต่างๆ ที่ทำงานร่วมกับ HealthKit
โดยแอปที่ทำงานร่วมกับ HealthKit นั้นก็ไม่สามารถ
ใช้หรือเปิดเผยข้อมูล HealthKit แก่บุคคลภายนอก
เพื่อจุดประสงค์ในการโฆษณาหรือการวิเคราะห์ข้อมูล
ในลักษณะอื่นได้ และจะแชร์ข้อมูลได้ก็เฉพาะเพื่อ
จุดประสงค์ในการยกระดับสุขภาพ ฟิตเนส หรือเพื่อ
การศึกษาวิจัยด้านสุขภาพเท่านั้น โดยที่จะต้อง
ได้รับอนุญาตจากคุณด้วย เมื่อคุณเลือกที่จะแชร์
ข้อมูลดังกล่าวกับแอปที่เชื่อถือได้ ข้อมูลนั้นจะถูกส่ง
จาก HealthKit ไปยังแอปของบริษัทอื่นโดยตรงและ
จะไม่ผ่านเครือข่ายของ Apple แต่อย่างใด

ResearchKit และ CareKit

ResearchKit และ CareKit คือเฟรมเวิร์กซอฟต์แวร์แบบโอเพ่นซอร์สที่ใช้ประโยชน์จากความสามารถต่างๆ ของ iPhone โดย ResearchKit เปิดโอกาสให้นักพัฒนาได้สร้างแอปที่จะช่วยให้นักวิจัยทาง
การแพทย์สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำและเป็นประโยชน์ทางการศึกษา ในขณะที่ CareKit
เป็นแพลตฟอร์มที่นักพัฒนาสามารถใช้ในการสร้างแอปที่จะช่วยให้คนทั่วไปหันมาดูแลสุขภาพของตัวเองกันอย่างจริงจังมากขึ้น

ด้วย ResearchKit คุณสามารถเลือกการศึกษาวิจัย
ที่ต้องการเข้าร่วม และยังควบคุมได้ว่าต้องการ
เปิดเผยข้อมูลอะไรกับแอปวิจัยใดบ้าง โดยแอปที่ใช้ ResearchKit หรือ CareKit นั้นจะสามารถดึงข้อมูล
ที่ต้องการจากแอปสุขภาพได้ก็ต่อเมื่อคุณยินยอมแล้วเท่านั้น สำหรับแอปใดก็ตามที่พัฒนาขึ้นโดยใช้ ResearchKit เพื่อทำการศึกษาวิจัยด้านสุขภาพของผู้คน ก็ต้องขอความยินยอมจากผู้ที่เข้าร่วมในการวิจัยก่อนเสมอ และจะต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิ์ในการเก็บรักษาข้อมูลเป็นความลับรวมถึงการเปิดเผยและการจัดการกับข้อมูล

นอกจากนั้น แอปเหล่านี้ยังต้องได้รับอนุมัติจาก
คณะกรรมการอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบด้านจริยธรรม
ก่อนจะเริ่มทำการวิจัยอีกด้วย สำหรับการศึกษาวิจัย
ด้วย ResearchKit บางประเภท Apple อาจอยู่ใน
รายชื่อในฐานะนักวิจัยรายหนึ่งที่จะได้รับข้อมูลจาก
ผู้เข้าร่วมที่ยินยอมเปิดเผยข้อมูลของตนกับนักวิจัย
เพื่อที่เราจะได้สามารถเข้าร่วมกับชุมชนการวิจัย
ที่ใหญ่ขึ้นในการศึกษาถึงวิธีที่เทคโนโลยีของเราจะ
ช่วยยกระดับแนวทางที่ผู้คนใช้ในการดูแลสุขภาพ
ของตนเองให้ดียิ่งขึ้นได้ และการรับข้อมูลจะเป็นไป
ในลักษณะที่ไม่ระบุตัวตนของผู้ที่เข้าร่วมกับ Apple
โดยตรง

ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ResearchKit และ CareKit

แอปการวิจัยของ Apple

เมื่อมีแพลตฟอร์มด้านการวิจัยของ Apple
การที่นักวิจัยจะได้พบปะกับผู้ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ
อยากช่วยสนับสนุนให้เกิดการค้นพบทางการแพทย์
ที่ก้าวหน้ายิ่งขึ้นนั้น กลายเป็นเรื่องง่าย โดยคุณ
สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมการศึกษาหนึ่ง (หรือ
หลายการศึกษา) ได้ทันทีจาก iPhone ของคุณเอง
และหากคุณมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ของการศึกษาใด
การศึกษาหนึ่ง คุณก็สามารถให้ความยินยอมและ
เข้าร่วมได้ ส่วนข้อมูลที่รวบรวมผ่านทางแอปการวิจัย
ของ Apple นั้นจะได้รับการเข้ารหัสหากคุณตั้งรหัส
ไว้ในอุปกรณ์ของคุณ และเมื่อแชร์ข้อมูลแล้ว
ข้อมูลดังกล่าวจะได้รับการจัดเก็บไว้กับ Apple
อย่างปลอดภัยในระบบที่ออกแบบมาให้มีคุณสมบัติ
ตรงตามข้อกำหนดทางเทคนิคด้านการปกป้องข้อมูล
ของ Health Insurance Portability and
Accountability Act (HIPAA) โดยที่ Apple
จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลการติดต่อหรือข้อมูลอื่นใด
ที่ระบุตัวตนของคุณได้โดยตรงผ่านทางแอปการวิจัย
และคุณสามารถถอนตัวจากการศึกษาใดๆ ก็ตาม
ได้ทุกเมื่อเพื่อยุติการรวบรวมข้อมูลในอนาคต

การปรับปรุงสุขภาพและกิจกรรม รวมถึงการปรับปรุงโหมดวีลแชร์

คุณสมบัติการปรับปรุงสุขภาพและกิจกรรม รวมถึงคุณสมบัติการปรับปรุงโหมดวีลแชร์จะส่งข้อมูลจาก iPhone และ Apple Watch ไปที่ Apple เพื่อให้เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของคุณสมบัติด้านสุขภาพและฟิตเนสของเราให้ดีขึ้นได้ โดยข้อมูลในส่วนนี้จะรวมข้อมูลที่แสดงในแอปสุขภาพ กิจกรรม และฟิตเนส ไปจนถึงการวัดค่าการเคลื่อนไหวต่างๆ บนแอปฟิตเนสอื่นๆ ที่คุณติดตั้งไว้ในเครื่อง ตำแหน่งที่ตั้งโดยประมาณของคุณ และระยะเวลาที่คุณใช้งาน Apple Watch เอาไว้ด้วย แต่จะไม่มีการนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้เพื่อจุดประสงค์อื่น และจะไม่มีข้อมูลที่ระบุตัวตนของบุคคลได้อย่างแน่นอน

บริการหาตำแหน่งที่ตั้ง

การควบคุมความเป็นส่วนตัวของบริการ
หาตำแหน่งที่ตั้งเป็นวิธีที่ทรงพลังในการจัดการ
ว่าแอปใดจะสามารถเข้าถึงตำแหน่งที่ตั้ง
ของคุณได้บ้าง

ดูรายงานอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของ
บริการหาตำแหน่งที่ตั้ง (PDF)

การอนุญาตแอป
ให้ใช้งานตำแหน่งที่ตั้ง

การอนุญาตให้ใช้งานตำแหน่งที่ตั้งช่วยให้คุณควบคุมข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งที่คุณส่งไปยังแอปต่างๆ ด้วยการควบคุมที่ละเอียดยิ่งขึ้น โดยคุณสามารถเลือกได้ว่าต้องการอนุญาตให้แอปเข้าถึงตำแหน่งที่ตั้งของคุณเพียงครั้งเดียว หรือทุกครั้งที่ใช้งานแอป

ตำแหน่งที่ตั้งโดยประมาณ

ตั้งแต่ iOS 14, iPadOS 14 และ watchOS 7 เป็นต้นไป คุณยังสามารถเลือกได้ว่าจะให้แอปเห็นตำแหน่งที่ตั้งโดยประมาณของคุณหรือไม่ ซึ่งก็จะบอกเป็นพื้นที่กว้างๆ ประมาณ 25 ตารางกิโลเมตร แทนที่จะให้รู้ตำแหน่งที่แน่ชัด เพื่อให้คุณสามารถใช้แอปค้นหาร้านอาหารในละแวกใกล้เคียง หรือตรวจสอบสภาพอากาศในท้องถิ่นได้โดยไม่ต้องให้ข้อมูลมากเกินความจำเป็น

การแจ้งเตือน
การติดตามในเบื้องหลัง

รับการแจ้งเตือนเมื่อมีแอปใดแอปหนึ่งใช้งานตำแหน่งที่ตั้งของคุณอยู่เบื้องหลัง และตัดสินใจได้ว่าคุณจะอัปเดตการอนุญาตนั้นหรือไม่
และการแจ้งเตือนการติดตามในเบื้องหลัง
ยังมาพร้อมแผนที่อีกด้วย คุณจึงสามารถดูได้ว่า
แอปใช้ตำแหน่งที่ตั้งของคุณในเบื้องหลังที่ไหนบ้าง

การปรับปรุงความ
เป็นส่วนตัวในการใช้งานตำแหน่งที่ตั้งผ่าน Wi‑Fi และ Bluetooth

ตั้งแต่ iOS 13 และ iPadOS 13 เป็นต้นไป API ยังเปลี่ยนแปลงการจำกัดประเภทของแอปที่มองเห็นชื่อของเครือข่าย WiFi ที่คุณเชื่อมต่ออยู่ ซึ่งทำให้แอประบุตำแหน่งที่ตั้งของคุณได้ยากขึ้น หากคุณไม่ยินยอม และเพื่อปกป้องคุณจากแอปที่ใช้ Bluetooth ในการระบุตำแหน่งที่ตั้งของคุณโดยที่คุณไม่ยินยอม iOS และ iPadOS ยังเพิ่มการควบคุมที่กำหนดให้แอปต้อง
ขออนุญาตคุณก่อนเข้าใช้งาน Bluetooth
เพื่อวัตถุประสงค์อื่นใดก็ตามที่นอกเหนือจากการ
เล่นเสียง อีกทั้งคุณยังสามารถเปลี่ยนแปลงการตั้งค่า Bluetooth ได้ตลอดเวลาว่าจะให้แอปไหนเข้าถึงได้บ้าง

การควบคุมการแชร์ตำแหน่งที่ตั้งสำหรับรูปภาพที่แชร์

MacOS, iOS และ iPadOS ให้คุณเลือกได้ว่า
ต้องการใส่ตำแหน่งที่ตั้งไว้ในภาพที่คุณแชร์หรือไม่ ไม่ว่าคุณจะแชร์ให้เพื่อนหรือแชร์ลงในแอปก็ตาม

ลงชื่อเข้าด้วย Apple

ลงชื่อเข้าแอปและเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว
โดยที่กิจกรรมของคุณไม่ถูกติดตามหรือเก็บข้อมูลโดย Apple

ดูสรุปทางเทคนิคของคุณสมบัติลงชื่อเข้าด้วย Apple (PDF)

ลงชื่อเข้าใช้ด้วย
Apple ID ของคุณ

คุณสมบัติลงชื่อเข้าด้วย Apple ให้คุณลงชื่อเข้าแอปและเว็บไซต์ด้วย Apple ID ที่คุณมีอยู่แล้ว โดยเมื่อคุณลงชื่อเข้าด้วย Apple แล้ว เว็บไซต์และแอปต่างๆ จะขอข้อมูลได้มากสุดเพียงแค่ชื่อและที่อยู่อีเมลของคุณเท่านั้น นอกจากนี้ Apple จะไม่มีการติดตามหรือเก็บข้อมูลของคุณเมื่อคุณลงชื่อเข้าด้วย Apple

ซ่อนอีเมลของคุณ

หากคุณไม่ต้องการแชร์ที่อยู่อีเมลกับแอปหรือเว็บไซต์ใดก็สามารถเลือกให้ซ่อนได้ และคุณยังเลือกให้ Apple สร้างที่อยู่อีเมลเฉพาะเพื่อใช้ส่งต่อข้อความไปยังอีเมลจริงของคุณได้อีกด้วย

การตรวจสอบสิทธิ์สองปัจจัย

การใช้งานคุณสมบัติลงชื่อเข้าด้วย Apple ต้องใช้กับ Apple ID ที่เปิดใช้งานการตรวจสอบสิทธิ์สองปัจจัย ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้การเข้าถึงบัญชีต่างๆ ในแอปโปรดของคุณปลอดภัยยิ่งขึ้นไปอีก

อัปเกรดเป็น "ลงชื่อเข้าด้วย Apple"

นักพัฒนาสามารถเพิ่มตัวเลือกสำหรับคุณในการอัปเกรดบัญชีที่มีอยู่แล้วในแอปโดยใช้การลงชื่อเข้าด้วย Apple นั่นทำให้คุณสามารถลงชื่อเข้าใช้บัญชีของคุณได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายโดยใช้ Face ID หรือ Touch ID และใช้ประโยชน์จากการตรวจสอบสิทธิ์สองปัจจัยของ Apple เพื่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยที่ดียิ่งขึ้นโดยไม่ต้องสมัครบัญชีใหม่

ความบันเทิง

บริการด้านความบันเทิงของเราใช้ข้อมูลเกี่ยวกับ
สิ่งที่คุณฟัง รับชม และเล่นเพื่อช่วยปรับแต่งประสบการณ์การใช้งานให้ตรงใจคุณมากยิ่งขึ้น
แต่ Apple จะไม่มีการสร้างโปรไฟล์ที่ครอบคลุมกิจกรรมทุกอย่างที่คุณทำในบริการต่างๆ

Apple Music

Apple Music ไม่มีโฆษณาจากบริษัทอื่น โดย Apple จะเก็บข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับกิจกรรมที่คุณทำเมื่อคุณเล่นหรือเลือกหาเพลง เพื่อช่วยให้คุณสมบัติสำหรับแต่ละบุคคลต่างๆ อย่างเช่น คุณสมบัติฟังตอนนี้ คุณสมบัติเล่นเพลงอัตโนมัติ การมิกซ์เพลงส่วนตัว และการแจ้งเตือนเพลงออกใหม่นั้นสอดคล้องกับรสนิยมทางดนตรีของคุณ ซึ่งเราได้ระบุไว้อย่างชัดเจนในหน้าเกี่ยวกับ Apple Music และความเป็นส่วนตัวในขั้นตอนการตั้งค่า ทั้งนี้ Apple Music มีข้อผูกพันในการแชร์ข้อมูลบางอย่างที่เก็บรวบรวมเข้าด้วยกันให้กับพาร์ทเนอร์อย่างค่ายเพลง เพื่อจุดประสงค์ต่างๆ เช่น การชำระค่าลิขสิทธิ์ให้แก่ศิลปิน แต่การดำเนินการดังกล่าวจะใช้มาตรการปกป้องความเป็นส่วนตัวชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรมเท่านั้น

ซึ่ง Apple Music นั้นจะไม่แชร์ข้อมูลกับพาร์ทเนอร์โดยใช้ตัวบ่งชี้ผู้ใช้หรืออุปกรณ์ใดๆ และถ้าหากคุณไม่อยากเก็บคอลเลกชั่นเพลงไว้บนเซิร์ฟเวอร์ของเรา ก็สามารถเลือกที่จะไม่ใช้คลังเพลง iCloud ได้ ยิ่งไปกว่านั้น iOS และ iPadOS ยังให้คุณควบคุมได้ว่าแอปไหนบ้างที่สามารถเข้าถึงบัญชีเพลงและรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของคุณ อีกทั้งคุณสมบัติเพื่อนใน Apple Music ที่คุณเลือกใช้ได้นั้นยังให้คุณแชร์เพลงโปรดของคุณ และเลือกได้ว่าจะให้เพื่อนคนไหนเห็นเพลงในโปรไฟล์ของคุณ โดย Apple จะเข้าถึงได้เฉพาะรายชื่อที่คุณเลือกเพิ่มเป็นเพื่อนไว้ใน Apple Music เท่านั้น ไม่ใช่รายชื่อทั้งหมดของคุณ

ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Apple Music
และความเป็นส่วนตัว

Apple TV

Apple เก็บข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ซื้อ รายการดาวน์โหลด และกิจกรรมของคุณในแอป Apple TV ซึ่งรวมถึงรายการที่คุณรับชมในแอป Apple TV, แอปที่เชื่อมต่ออยู่ และตำแหน่งที่ตั้งของคุณ ทั้งนี้ก็เพื่อให้สามารถแนะนำรายการที่ตรงกับความสนใจ และปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน Apple TV ของคุณให้ดียิ่งขึ้น โดยคุณสามารถเลือกแชร์สิ่งที่คุณรับชมในแอปที่เชื่อมต่ออยู่เพื่อนำคอนเทนต์ทั้งหมดของคุณมารวมอยู่ในที่เดียวกัน แล้วคุณยังสามารถควบคุมประวัติการรับชมที่ Apple นำไปใช้เพื่อแนะนำรายการ
ที่ตรงกับความสนใจของคุณได้อีกด้วย นอกจากนี้
คุณยังสามารถลบประวัติการรับชมจากแอปที่
เชื่อมต่ออยู่ที่ Apple เก็บไว้ได้ทั้งหมด หรือ
เลือกลบเฉพาะบางแอปก็ได้

ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอป Apple TV
และความเป็นส่วนตัว

Apple Arcade

เกมบน Apple Arcade จะไม่เก็บข้อมูลส่วนตัวใดๆ เกี่ยวกับคุณ หรือติดตามข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับวิธีการเล่นของคุณโดยที่คุณไม่อนุญาต นอกจากนี้เกมใน Apple Arcade ก็ไม่มีการโฆษณาภายในแอป
หรือการติดตามโดยบริษัทอื่นอีกด้วย

ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Apple Arcade
และความเป็นส่วนตัว

App Store

แอปทุกแอปใน App Store นั้นจะต้องปฏิบัติตามแนวทางอย่างเคร่งครัดในการปกป้องความเป็นส่วนตัว รวมถึงเตรียมรายงานสรุปของแอปว่าแอปนั้นใช้ข้อมูลของคุณอย่างไร นอกจากนี้แอปยังจำเป็นต้องขออนุญาตจากคุณก่อนจะเข้าถึงสิ่งต่างๆ อย่างเช่นรูปภาพหรือตำแหน่งที่ตั้งของคุณด้วย

แนวทางปฏิบัติสำหรับแอป

ใน App Store นั้น Apple กำหนดให้นักพัฒนาแอปต้องปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง
ซึ่งออกแบบมาเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวและ
ความปลอดภัยของผู้ใช้ นอกจากนั้น Apple ยังกำหนดให้นักพัฒนาแอปต้องแจ้งนโยบายความเป็นส่วนตัวเพื่อให้คุณสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งหาก Apple ทราบว่ามีแอปที่ฝ่าฝืนแนวทางปฏิบัติของเรา นักพัฒนาจะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหา มิเช่นนั้นแอปดังกล่าวจะถูกถอดออกจาก App Store
และก่อนที่จะเปิดให้ดาวน์โหลดใน App Store ได้นั้น แอปต่างๆ จะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบอย่างละเอียดมาแล้วด้วย

ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการ
ตรวจสอบแอป (PDF)

ป้ายแสดงแนวทางปฏิบัติด้านความเป็นส่วนตัว

นักพัฒนาจะต้องจัดทำรายงานตนเองเกี่ยวกับวิธีใช้งานข้อมูลของคุณ เช่น ข้อมูลการใช้งาน ข้อมูลรายชื่อ หรือตำแหน่งที่ตั้ง แล้วจะใช้ข้อมูลนั้นเพื่อติดตามคุณหรือไม่ โดยคุณสามารถดูป้ายแสดงรายละเอียดแนวทางด้านความเป็นส่วนตัวที่เป็นการรายงานตนเองแต่ละรายการในหน้าผลิตภัณฑ์ของแอปบน App Store ได้ตลอดเวลา รวมถึงก่อนที่จะเลือกดาวน์โหลด งานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความโปร่งใสและให้คุณควบคุมข้อมูลของคุณเองได้ โดย Apple จะยังคงปรับปรุงพัฒนาคุณสมบัตินี้ต่อไปและจะทำงานร่วมกับนักพัฒนาเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้สามารถเลือกรูปแบบการรับข้อมูลเองได้

ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับป้ายแสดงแนวทาง
ด้านความเป็นส่วนตัวบน App Store
ดูว่าแอปจาก Apple จัดการกับ
ข้อมูล
ของคุณ
อย่างไร

การอนุญาตแอป

เมื่อคุณติดตั้งแอปในอุปกรณ์ของคุณแล้ว คุณจะได้รับข้อความขออนุญาตในครั้งแรกก่อนที่แอปนั้นจะเข้าใช้งานข้อมูล เช่น ตำแหน่งที่ตั้ง หรือรูปภาพของคุณ ซึ่งคุณก็สามารถเปลี่ยนแปลงสิทธิ์อนุญาตที่ให้ไปแล้วได้ ยิ่งไปกว่านั้น iOS 11 หรือใหม่กว่า และ iPadOS ยังให้คุณควบคุมการอนุญาตให้แอปเข้าถึงตำแหน่งที่ตั้งของคุณเฉพาะตอนที่คุณใช้งานแอปอยู่เท่านั้น นอกจากนี้ Apple ยังกำหนดให้ข้อมูลบางประเภทบนอุปกรณ์ของคุณเป็นข้อมูลที่ห้ามเข้าถึงโดยเด็ดขาด ดังนั้นแอปต่างๆ จึงไม่มีทางขออนุญาตเข้าถึงข้อมูลของคุณแบบทั้งหมดได้

แอปคลิป

ขณะที่คุณใช้งานแอปคลิป นักพัฒนาจะสามารถขอได้แค่ชุดข้อมูลที่จำกัดเท่านั้น โดยเมื่อแอปคลิปขอเข้าถึงตำแหน่งที่ตั้ง กล้อง หรือข้อมูลสำคัญของคุณ ก็จะต้องขอความยินยอมจากคุณก่อนเหมือนกับแอปเวอร์ชั่นเต็ม และคุณยังเลือกมอบสิทธิ์อนุญาตให้กับแอปคลิปทั้งหมดได้อีกด้วย ทั้งนี้แอปคลิปไม่ได้รับอนุญาตให้ขอสิทธิ์ในการติดตามไปยังแอปหรือเว็บไซต์ของบริษัทอื่น มีเพียงแอปเวอร์ชั่นเต็มเท่านั้นที่ทำได้

การติดตามของแอป

เนื้อหาส่วนการติดตามของแอปในการตั้งค่าจะช่วยให้คุณดูได้อย่างง่ายดายว่าแอปใดที่ได้รับอนุญาตให้ติดตามคุณ นั่นทำให้คุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าและปิดการขออนุญาตจากแอปในอนาคตได้ ทั้งนี้ตั้งแต่ iOS 14.5 และ iPadOS 14.5 เป็นต้นไป จะกำหนดให้นักพัฒนาต้องได้รับอนุญาตจากคุณก่อนที่จะติดตามกิจกรรมของคุณในแอปและเว็บไซต์ของบริษัทอื่นๆ เพื่อการโฆษณาหรือเป็นนายหน้าหาข้อมูล

iCloud

สิ่งที่คุณจัดเก็บใน iCloud นั้นได้รับการปกป้องด้วยการเข้ารหัส ความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรม โดยที่นักพัฒนาก็ไม่มีสิทธิ์เข้าถึง Apple ID ของคุณ

การเข้ารหัสข้อมูล

iCloud รักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลของคุณ อย่างรูปภาพ รายชื่อ และโน้ต โดยการเข้ารหัสข้อมูลขณะรับส่ง และจัดเก็บอยู่ในรูปแบบที่มีการเข้ารหัส รวมถึงเก็บรักษาคีย์เข้ารหัสไว้ในศูนย์ข้อมูลของ Apple อย่างไรก็ตาม อาจมีการใช้ศูนย์ข้อมูลทั้งของ Apple เองและของบริษัทอื่นในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลของคุณ โดยเมื่อประมวลผลข้อมูลที่จัดเก็บอยู่ในศูนย์ข้อมูลของบริษัทอื่น จะมีการเข้าถึงคีย์เข้ารหัสโดยซอฟต์แวร์ Apple ซึ่งทำงานอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ที่ปลอดภัยเท่านั้น และเฉพาะในระหว่างที่มีการประมวลข้อมูลที่จำเป็นเท่านั้นด้วย นอกจากนี้เพื่อความปลอดภัยที่มากขึ้น คุณยังสามารถเปิดใช้งานการปกป้องข้อมูลขั้นสูง ซึ่งจะใช้การเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลหลายหมวดหมู่ใน iCloud จะสามารถถอดรหัสได้บนอุปกรณ์ที่คุณเชื่อถือเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยปกป้องข้อมูลของคุณ ไม่เว้นแม้แต่ในกรณีที่มีข้อมูลรั่วไหลบนระบบคลาวด์

ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเข้ารหัสข้อมูล iCloud

การตรวจสอบสิทธิ์สองปัจจัย

การตรวจสอบสิทธิ์สองปัจจัยเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับ Apple ID ของคุณอีกขั้น เพราะออกแบบมาเพื่อช่วยให้มั่นใจว่ามีเพียงคุณคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าใช้งานบัญชีของคุณได้ ถึงแม้ว่า
จะมีคนอื่นรู้รหัสผ่านของคุณก็ตาม อีกทั้งยัง
ตั้งค่าและใช้งานง่ายอีกด้วย

ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตรวจสอบสิทธิ์สองปัจจัย

การแชร์ผ่าน iCloud

ในการแชร์ผ่าน iCloud นั้น บุคคลอื่นที่ไม่ได้รับคำเชิญและไม่ได้ตอบรับเข้าร่วมการแชร์แบบส่วนตัว จะไม่สามารถเห็นข้อมูลของผู้ที่เข้าร่วมการแชร์ ซึ่งจะมีเฉพาะผู้ที่สามารถเข้าถึงลิงก์การแชร์และ Apple เท่านั้นที่จะสามารถเห็นชื่อของไฟล์ที่แชร์ รวมถึงชื่อและนามสกุลที่เชื่อมโยงกับ Apple ID ของคุณ โดยใน iOS 11 หรือใหม่กว่า รวมถึง iPadOS และ macOS High Sierra หรือใหม่กว่านั้น การเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางใน iCloud จะซิงค์ข้อมูลส่วนตัวบางประเภทอย่างเช่น ข้อมูลในแอปสุขภาพ บนอุปกรณ์ทั้งหมดของคุณในรูปแบบที่ Apple ไม่สามารถอ่านหรือเข้าถึงได้

CloudKit

CloudKit คือช่องทางที่เปิดโอกาสให้นักพัฒนาจากบริษัทอื่นสามารถใช้พื้นที่จัดเก็บข้อมูล iCloud ในแอปของตนเองได้ โดย CloudKit ช่วยให้การตั้งค่าและข้อมูลต่างๆ ในแอปของคุณอัปเดตอยู่เสมอบนอุปกรณ์ทุกเครื่องของคุณ และเมื่อนักพัฒนาใช้ CloudKit ในแอป คุณก็จะสามารถใช้งานแอปเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น เพราะคุณไม่ต้องลงชื่อเข้าใช้งานแอปแยกต่างหาก ทั้งนี้ ตามค่าเริ่มต้นแล้ว นักพัฒนาจะไม่สามารถเข้าถึง Apple ID ของคุณ แต่จะเห็นเป็นตัวบ่งชี้ที่ไม่ซ้ำกันเท่านั้น ดังนั้นจะมีก็แต่ในกรณีที่มีการอนุญาตจากคุณเท่านั้นที่นักพัฒนาจะสามารถใช้อีเมลของคุณในการเปิดให้ผู้อื่นค้นหาคุณในแอปนั้นได้
ซึ่งคุณสามารถควบคุมสิทธิ์อนุญาตต่างๆ เหล่านี้ได้ตลอดเวลา และจะเปิดหรือปิดเมื่อไหร่ก็ได้ นอกจากนี้
จะไม่มีการแชร์ข้อมูลที่เชื่อมโยงกับ CloudKit
ของคุณกับนักพัฒนา เว้นเสียแต่ว่าคุณเลือกที่จะ
แชร์หรือโพสต์ให้คนทั่วไปเห็นเท่านั้น

ผู้ติดต่อการกู้คืนบัญชี

เลือกอย่างน้อยหนึ่งคนที่คุณไว้ใจให้เป็นผู้ติดต่อการกู้คืนบัญชี ที่จะช่วยคุณรีเซ็ตรหัสผ่านและทำให้คุณสามารถเข้าใช้บัญชีได้อีกครั้ง โดยที่ Apple เองก็ไม่รู้เลยว่าผู้ติดต่อที่คุณไว้ใจนั้นคือใคร รู้แค่ว่าคุณได้กำหนดไว้หรือไม่เท่านั้น

โปรแกรมทรัพย์มรดก
ทางดิจิทัล

โปรแกรมทรัพย์มรดกทางดิจิทัลให้คุณกำหนดได้ว่าต้องการให้ใครอยู่ในรายชื่อผู้ติดต่อรับมรดกของคุณ เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าถึงบัญชีและข้อมูลส่วนตัวของคุณได้ในกรณีที่คุณจากไป โดยที่ Apple เองก็ไม่รู้เลยว่าผู้ติดต่อรับมรดกของคุณคือใคร รู้แค่ว่าคุณได้กำหนดไว้หรือไม่เท่านั้น

iCloud+

iCloud+ มาพร้อมคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมที่จะช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณขณะท่องอินเทอร์เน็ตและใช้งานอีเมล

ซ่อนอีเมลของฉัน

คุณสมบัติซ่อนอีเมลของฉันให้คุณสร้างที่อยู่อีเมลแบบสุ่มที่ไม่ซ้ำกัน ซึ่งจะส่งต่ออีเมลมายังอินบอกซ์ส่วนตัวของคุณ ทีนี้คุณก็สามารถส่งและรับอีเมลได้โดยไม่ต้องแชร์ที่อยู่อีเมลจริง

iCloud Private Relay

iCloud Private Relay คือบริการด้านความเป็นส่วนตัวบนอินเทอร์เน็ตที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบมัลติฮอปอันล้ำสมัย ซึ่งจะส่งคำขอของผู้ใช้แยกผ่านอินเทอร์เน็ตรีเลย์สองชุดที่จัดการโดยสองหน่วยงานไม่ซ้ำกัน และเมื่อเป็นแบบนี้แล้วจึงไม่มีใครที่สามารถดูหรือเก็บรายละเอียดกิจกรรมการท่องเว็บของผู้ใช้ได้แม้แต่ Apple เอง4

ดูว่า iCloud Private Relay ปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้บนอินเทอร์เน็ตได้อย่างไร (PDF)

CarPlay

มาตรการด้านความเป็นส่วนตัวที่เข้มงวดทั้งหมดที่มี
อยู่ใน iPhone และแอปต่างๆ นั้นมีผลกับ CarPlay ด้วย
และการอัปเดตด้านความเป็นส่วนตัวใน iOS
ก็จะนำมาใช้กับ CarPlay ด้วยเช่นกัน

การลดปริมาณข้อมูล

เมื่อคุณใช้ CarPlay ทุกแอปที่คุณเห็นนั้นขับเคลื่อนการทำงานด้วย iPhone ไม่ใช่ด้วยรถของคุณแต่อย่างใด นั่นหมายความว่า Apple ส่งเมตาดาต้าเพียงเล็กน้อยไปยังรถเพื่อให้ประสบการณ์การใช้งานนั้นราบรื่นไม่มีสะดุด และจะส่งก็ต่อเมื่อเมตาดาต้านั้น
มีความสำคัญต่อการให้บริการเท่านั้น ตัวอย่างเช่น อาจมีการแชร์ข้อมูลเพลงที่คุณกำลังฟังอยู่ในขณะนั้นไปยังจอแสดงผล และอาจมีการแสดงชื่อผู้ติดต่อ
หรือเวลาสนทนาของสายที่คุณโทรในขณะนั้น
บนแผงหน้าปัดหรือจอแสดงผลบนกระจกหน้ารถ
เพื่อช่วยให้คุณเห็นข้อมูลที่มีประโยชน์

แอปของบริษัทอื่น

แอปของบริษัทอื่นทั้งในด้านเสียง การส่งข้อความ การโทรแบบเสียง และการนำทางนั้นทำงานใน CarPlay ได้ รวมถึงแอปที่ผู้ผลิตรถยนต์สร้างมาสำหรับรถของตนด้วย และด้วยการที่แอปเหล่านี้ทำงานบน iPhone ของคุณ นั่นหมายความว่าการปกป้องทั้งหมดที่ใช้กับแอปของบริษัทอื่นใน iOS ก็จะมีผลกับใน CarPlay เช่นกัน อีกทั้ง Apple ยังกำหนดให้แอป
ของบริษัทอื่นต้องแจ้งนโยบายความเป็นส่วนตัว
เพื่อให้คุณตรวจสอบได้อยู่เสมอ

บ้าน

แอปบ้านใช้การเข้ารหัสเพื่อปกป้องข้อมูลที่คุณส่งไปยังอุปกรณ์เสริม HomeKit ทั้งหมดของคุณ นอกจากนี้แอปที่ใช้ HomeKit ยังต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดอันเข้มงวดในแนวทางสำหรับนักพัฒนาของเราด้วย

การเข้ารหัส

ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบ้านของคุณจะได้รับการเข้ารหัสและจัดเก็บในแบบที่ Apple เองก็อ่านข้อมูลไม่ได้ และยังได้รับการเข้ารหัสขณะรับส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ Apple กับอุปกรณ์ที่คุณใช้ควบคุมบ้านด้วย ถึงแม้ว่าคุณจะควบคุมอุปกรณ์เสริมจากระยะไกลก็ตาม นอกจากนี้วิดีโอที่บันทึกจากกล้องวงจรปิดที่ใช้คุณสมบัติวิดีโอ HomeKit ที่ปลอดภัย ยังได้รับ
การวิเคราะห์อย่างเป็นส่วนตัวในอุปกรณ์ Apple ของคุณเองที่บ้าน ก่อนจะส่งไปยัง iCloud อย่างปลอดภัยด้วยการเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง

การปกป้อง
สำหรับตำแหน่งที่ตั้ง

เมื่อแอปทำอะไรต่างๆ โดยอัตโนมัติตามตำแหน่งที่คุณอยู่ เช่น เปิดไฟในบ้าน การทำงานนั้นๆ จะเกิดจากการสั่งงานโดยระบบนิเวศ Apple Home โดยที่แอปไม่รู้ตำแหน่งของคุณ และถ้าต้องการปิดการใช้งานตามตำแหน่งที่คุณอยู่ ก็ทำได้ทุกเมื่อ

การปกป้องสำหรับแอป

แอปที่ใช้ HomeKit หรือ Matter จะต้องอยู่ภายใต้แนวทางปฏิบัติสำหรับนักพัฒนาของเรา ซึ่งกำหนดให้ใช้ข้อมูลเฉพาะสำหรับการกำหนดค่าเกี่ยวกับบ้านหรือการให้บริการต่างๆ ในแบบอัตโนมัติเท่านั้น

ตัวบ่งชี้แบบสุ่ม

คำขอที่สร้างโดยใช้ Siri รวมถึงคำขอควบคุมอุปกรณ์เสริมสำหรับบ้านอัจฉริยะของคุณ จะถูกเชื่อมโยงกับตัวบ่งชี้แบบสุ่ม ไม่ใช่กับ Apple ID ของคุณ จึงไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่าคุณเป็นใคร

วิดีโอ HomeKit ที่ปลอดภัย

คุณสมบัติวิดีโอ HomeKit ที่ปลอดภัย ใน iOS 13 และ iPadOS ช่วยให้มั่นได้ใจว่ากิจกรรมที่กล้องวงจรปิดของคุณตรวจพบนั้นจะได้รับการวิเคราะห์
และเข้ารหัสโดยอุปกรณ์ Apple ของคุณที่บ้าน
ก่อนจะได้รับการจัดเก็บอย่างปลอดภัยใน iCloud

Matter

การนำ Matter มาปรับใช้ของ Apple ครอบคลุมทั้งคุณสมบัติด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยที่ล้ำหน้า ซึ่งออกแบบมาให้คุณควบคุมประสบการณ์บ้านอัจฉริยะได้เอง รวมถึงยกระดับการทำงานระหว่างแอปกับระบบนิเวศต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้นด้วย

เมื่อจับคู่กับอุปกรณ์เสริม Matter เครื่องใหม่ iOS และ iPadOS จะยังคงมอบการรักษาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในระดับสูงสุดเสมอ เพื่อให้คุณทราบอยู่ตลอดว่าอุปกรณ์เสริมใดบ้างที่เชื่อมต่อกับบ้านของคุณ และสามารถควบคุมเครือข่ายบ้านอัจฉริยะได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยแอปต่างๆ จะต้องขออนุญาตเข้าถึงก่อนที่จะเพิ่มอุปกรณ์เสริมในบ้านของคุณได้ เช่นเดียวกับการขออนุญาตเข้าถึงข้อมูลตำแหน่งที่ตั้ง รายชื่อ ปฏิทิน และรูปภาพของคุณ

เราเตอร์ที่รองรับ HomeKit

เราเตอร์ที่รองรับ HomeKit ให้คุณดูและจัดการการรับส่งข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตของอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ได้ทั้งภายในบ้านของคุณและผ่านอินเทอร์เน็ต

เด็กๆ และครอบครัว

คุณสมบัติอย่างความปลอดภัยในการสื่อสาร เวลาหน้าจอ และการแชร์กันในครอบครัว รวมถึงแอปเพื่อการศึกษาที่ออกแบบโดย Apple จะช่วยปกป้องเด็กๆ ให้ปลอดภัย และช่วยให้ผู้ปกครองและครูผู้สอนสามารถควบคุมข้อมูลที่เด็กๆ สามารถเข้าถึงและแชร์ได้

ความปลอดภัยของเด็กๆ

คุณสมบัติความปลอดภัยในการสื่อสารจะเพิ่มการป้องกันให้เด็กๆ ที่อาจได้รับหรือพยายามส่งต่อรูปภาพหรือวิดีโอที่มีการเปลือยกาย ซึ่งผู้ปกครองสามารถจัดการคุณสมบัติความปลอดภัยในการสื่อสารได้ผ่านแผนบริการสำหรับการแชร์กันในครอบครัว

คอนเทนต์ที่มีการเปลือยกายจะถูกทำให้เบลอ และเด็กคนดังกล่าวจะได้รับการเตือนพร้อมแนะนำแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมถึงสร้างความมั่นใจว่าหากพวกเขาไม่ต้องการดูรูปภาพหรือวิดีโอก็ไม่มีอะไรเสียหาย รวมถึงมีการป้องกันในลักษณะที่คล้ายกันหากมีเด็กพยายามส่งรูปภาพหรือวิดีโอที่มีการเปลือยกาย ซึ่งทั้งสองกรณี เด็กๆ จะมีตัวเลือกในการส่งข้อความถึงคนที่ไว้ใจเพื่อขอความช่วยเหลือได้ โดยการเตือนนี้จะทำงานบนแอปข้อความ ข้อความวิดีโอใน FaceTime และ AirDrop รวมถึงเมื่อมีการใช้งานแอปโทรศัพท์เพื่อรับโปสเตอร์ของรายชื่อ และใช้ตัวเลือกรูปภาพเพื่อเลือกคอนเทนต์ที่ต้องการส่ง

การประมวลผลรูปภาพและวิดีโอทั้งหมดสำหรับคุณสมบัติความปลอดภัยในการสื่อสารจะเกิดขึ้นบนอุปกรณ์นั้นๆ ซึ่งหมายความว่าทั้ง Apple และบุคคลอื่นจะไม่สามารถเข้าถึงคอนเทนต์ดังกล่าวได้ ซึ่งรูปภาพและวิดีโอจะได้รับการวิเคราะห์ว่ามีการเปลือยกายหรือไม่ โดยที่ยังคงการเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางเอาไว้ และไม่มีการระบุว่าตรวจพบคอนเทนต์ที่มีการเปลือยกายส่งออกไปนอกอุปกรณ์ ในขณะเดียวกัน Apple ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อความ รวมถึงไม่มีการส่งการแจ้งเตือนไปยังผู้ปกครองหรือคนอื่นๆ

การแชร์กันในครอบครัว

การแชร์กันในครอบครัวช่วยให้ผู้ปกครองสามารถดูกิจกรรมและคอนเทนต์ของเด็กๆ บนอุปกรณ์ Apple ของพวกเขา และยังให้เด็กๆ มี Apple ID ของตัวเองได้ โดยจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้จัดการครอบครัว และนอกจากจะมีคุณสมบัติความปลอดภัยในการสื่อสารที่ช่วยให้ผู้ปกครองปกป้องบุตรหลานจากการเข้าถึงหรือแชร์คอนเทนต์ที่มีการเปลือยกายแล้ว Apple ยังพัฒนาเครื่องมืออย่างคุณสมบัติขออนุญาตซื้ออีกด้วย โดยคุณสมบัตินี้จะให้ผู้ปกครองเป็นผู้อนุมัติการดาวน์โหลดแอปหรือการซื้อภายในแอป เพื่อให้สามารถควบคุมการซื้อของเด็กๆ ที่ใช้ Apple ID ของพวกเขาเองได้

ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติ การแชร์กันในครอบครัว

เวลาหน้าจอ

คุณสามารถใช้คุณสมบัติเวลาหน้าจอเพื่อทำความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นและตัดสินใจได้ว่าเด็กๆ ควรใช้เวลามากน้อยเพียงใดกับแอปและเว็บไซต์ต่างๆ และยังมีคุณสมบัติรายงานกิจกรรมที่จะแสดงข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับการใช้แอป การแจ้งเตือน และการหยิบอุปกรณ์ขึ้นมาใช้ ซึ่งผู้ที่จะเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้มีแค่ตัวคุณ ลูกๆ และคนที่คุณเลือกที่จะแชร์ด้วยเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นคุณยังสามารถกำหนดระยะเวลาที่เด็กๆ สามารถใช้กับบางแอปและบางเว็บไซต์ในแต่ละวันได้

ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติ เวลาหน้าจอ

แอปด้านการศึกษา

Apple ไม่มีการนำข้อมูลของนักเรียนไปขาย และเราไม่มีการแชร์ข้อมูลให้บริษัทอื่นนำไปใช้ทำการตลาดหรือโฆษณา นอกจากนี้ Apple ยังไม่เก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลของนักเรียนจาก Apple School Manager, แอปงานชั้นเรียน, แอปห้องเรียน, iTunes U หรือ Apple ID ที่ได้รับการจัดการ เพื่อจุดประสงค์อื่นใดนอกเหนือจากการให้บริการด้านการศึกษาที่เกี่ยวข้อง และ Apple จะไม่ติดตามการใช้งานของนักเรียนหรือสร้างโปรไฟล์ที่อิงจากอีเมลหรือการเข้าเข้าชมเว็บของนักเรียน โดยผู้ปกครองสามารถเลือกได้ว่าจะให้บุตรหลานของตนเข้าร่วมหรือไม่ และนักเรียนก็สามารถเข้าดูข้อมูลของตนผ่านอุปกรณ์ของตนเองได้

ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในด้านการศึกษา ดูการรับรอง ISO

คำมั่นสัญญาว่าด้วย
ความเป็นส่วนตัวของนักเรียน

เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวให้กับนักเรียนและครูอย่างดีที่สุด ข้อตกลงและกระบวนการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจึงเป็นไปตามหลักกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ General Data Protection Regulation (GDPR) ของสหภาพยุโรป นอกจากนั้น Apple ยังได้ลงนามในคำมั่นสัญญาว่าด้วยความเป็นส่วนตัวของนักเรียน หรือ Student Privacy Pledge ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะปกป้องข้อมูลที่นักเรียน พ่อแม่ และอาจารย์แลกเปลี่ยนกันในสถานศึกษา

อ่านคำมั่นสัญญาว่าด้วยความเป็นส่วนตัว
ของนักเรียน

แอปสำหรับเด็กและ App Store

Apple ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้ในทุกๆ แอป และสำหรับแอปในหมวดหมู่เด็ก เราก็มีมาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมเพื่อช่วยปกป้องข้อมูลของเด็กๆ ให้ปลอดภัย ทั้งยังป้องกันการโฆษณาที่ไม่เหมาะสม เพราะเราเชื่อว่าเมื่อดาวน์โหลดแอปในหมวดหมู่เด็กให้กับลูกๆ พ่อแม่ก็ควรทราบได้ว่าจะมีการรับส่งข้อมูลการใช้งานของอุปกรณ์นั้นอย่างไร และมั่นใจได้ว่าเด็กๆ จะไม่ตกเป็นเป้าหมายของการโฆษณาที่ไม่เหมาะสม

การปกป้องความเป็นส่วนตัวที่มีมาให้ในตัว

ความเป็นส่วนตัวคือรากฐานที่สำคัญในกระบวนการออกแบบ เราจึงออกแบบผลิตภัณฑ์ แอป และบริการต่างๆ ของ Apple ให้มาพร้อมการปกป้องเหล่านี้

การลดปริมาณข้อมูล

Apple ยึดมั่นในการเก็บข้อมูลส่วนตัว
เฉพาะที่จำเป็นต่อการนำเสนอในสิ่งที่คุณ
ต้องการเท่านั้น นอกจากนี้ Apple ยัง
ประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลส่วนตัว
ในอุปกรณ์ของคุณทุกครั้งที่เป็นไปได้
และในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลส่วนตัว
บางอย่าง เรายังลดปริมาณข้อมูลที่ใช้
สำหรับการให้บริการนั้นๆ ให้เหลือน้อย
ที่สุด อย่างเช่นตำแหน่งที่ตั้งของคุณ
เมื่อค้นหาในแอปแผนที่ และ Apple
ก็ไม่มีการเก็บโปรไฟล์ข้อมูลผู้ใช้
ที่ครอบคลุมกิจกรรมทุกอย่างที่คุณทำ
ในผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของเรา
เพื่อนำไปใช้ในการแสดงโฆษณา
แบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย

ระบบอัจฉริยะในตัวอุปกรณ์

Apple ใช้การเรียนรู้ของระบบเพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานและความเป็นส่วนตัวของคุณ โดยใช้การประมวลผลในตัวอุปกรณ์ เพื่อไม่ให้ผู้อื่นเห็นข้อมูลของคุณ โดยเราได้ใช้การเรียนรู้ของระบบสำหรับการจำภาพและฉากในแอปรูปภาพ หรือการคาดเดาข้อความในคีย์บอร์ด และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในตัวอุปกรณ์ อย่างเช่น ชิป A13 และใหม่กว่า รวมถึง Neural Engine ใน iPhone ก็สามารถแยกแยะรูปแบบ คาดการณ์ล่วงหน้า พร้อมทั้งเรียนรู้จากประสบการณ์ได้ไม่ต่างจากการเรียนรู้ของคุณ ทำให้อุปกรณ์สามารถสร้างประสบการณ์ที่เหมาะกับผู้ใช้แต่ละคนได้โดยไม่ต้องวิเคราะห์ข้อมูลส่วนตัวบนเซิร์ฟเวอร์ของ Apple ซึ่งตอนนี้นักพัฒนายังสามารถใช้เฟรมเวิร์กของเรา เช่น Create ML และ Core ML เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ที่ทรงพลังในการใช้งานแอป โดยไม่จำเป็นต้องดึงข้อมูลออกจากอุปกรณ์ของคุณ นั่นหมายความว่าแอปจะสามารถวิเคราะห์ความรู้สึกของผู้ใช้ จำแนกฉากต่างๆ แปลข้อความ จดจำลายมือ คาดเดาข้อความ แท็กเพลง และอื่นๆ อีกมากมายได้โดยไม่ทำให้ความเป็นส่วนตัวของคุณอยู่ในความเสี่ยง

ความโปร่งใสและการควบคุม

เมื่อถึงเวลาที่ต้องเก็บข้อมูลส่วนตัวจริงๆ Apple ก็มีความชัดเจนและโปร่งใสในเรื่องนี้ โดยเราจะแจ้งให้คุณทราบว่าข้อมูลส่วนตัวของคุณจะถูกนำไปใช้อย่างไร รวมถึงวิธีเลือกไม่ให้เก็บข้อมูลซึ่งคุณสามารถทำได้ทุกเมื่อที่ต้องการ นอกจากนี้ยังมีหน้าจอแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลและความเป็นส่วนตัวที่จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงวิธีที่ Apple ใช้ข้อมูลส่วนตัวของคุณ โดยรายละเอียดนี้จะปรากฏขึ้นก่อนที่คุณจะลงชื่อเข้าใช้หรือเริ่มใช้คุณสมบัติใหม่ต่างๆ แล้วเรายังเตรียมชุดเครื่องมือด้านการจัดการความเป็นส่วนตัวโดยเฉพาะไว้ในหน้าข้อมูลและความเป็นส่วนตัวอีกด้วย อย่างเช่นใน iOS 14 หรือใหม่กว่า คุณสามารถเลือกได้ว่าต้องการอนุญาตให้แอปเข้าถึงตำแหน่งที่ตั้งของคุณเพียงครั้งเดียว หรือทุกครั้งที่ใช้งานแอป พร้อมทั้งคุณจะได้รับการแจ้งเตือนเมื่อมีแอปใดแอปหนึ่งใช้งานตำแหน่งที่ตั้งของคุณอยู่เบื้องหลัง และตัดสินใจได้ว่าคุณจะอัปเดตการอนุญาตนั้นหรือไม่

ไปที่หน้าข้อมูลและความเป็นส่วนตัว

การปกป้องตัวตนของคุณ

Apple ได้พัฒนาเทคโนโลยีที่จะช่วยอำพรางตัวตนของคุณเมื่อจำเป็นต้องส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Apple และในบางครั้งเรายังใช้ตัวบ่งชี้แบบสุ่มเพื่อไม่ให้ข้อมูลนั้นเชื่อมโยงกับ Apple ID ของคุณ นอกจากนี้เรายังบุกเบิกการใช้เทคนิค Differential Privacy เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมในรูปแบบต่างๆ โดยที่ยังคงปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้แต่ละคนเอาไว้ ซึ่งหากคุณเลือกที่จะส่งข้อมูลการวิเคราะห์เกี่ยวกับการใช้งานอุปกรณ์ของคุณมายัง Apple ข้อมูลที่เก็บมานั้นก็จะไม่บ่งบอกว่าคุณเป็นใคร อีกทั้งในขณะที่รวบรวมข้อมูลดังกล่าวก็จะไม่มีการบันทึกข้อมูลส่วนตัวใดๆ เอาไว้ หรือมีการลบข้อมูลส่วนตัวออกจากรายงานก่อนจะส่งมายัง Apple หรือใช้เทคนิคต่างๆ เช่น Differential Privacy เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวเหล่านั้น ด้วยเทคนิคเหล่านี้เองที่ช่วยให้เราสามารถให้บริการและปรับปรุงบริการต่างๆ โดยที่ยังคงปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณได้

ดูรายงานอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ
เทคนิค Differential Privacy (PDF)

ความปลอดภัยของข้อมูล

หากไม่มีการปกป้องดูแลความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัวก็จะไม่มีทางเกิดขึ้น อุปกรณ์ Apple ทุกเครื่องจึงเป็นการผสมผสานฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการต่างๆ ที่ออกแบบมาให้ทำงานร่วมกันเพื่อความปลอดภัยสูงสุด พร้อมมอบประสบการณ์การใช้งานที่โปร่งใสให้แก่ผู้ใช้ ในส่วนของฮาร์ดแวร์ที่ออกแบบขึ้นโดยเฉพาะ อย่าง Secure Enclave ใน iPhone, iPad และ Mac นั้น คือขุมพลังซึ่งอยู่เบื้องหลังคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่เป็นหัวใจสำคัญ อย่างเช่น การเข้ารหัสข้อมูล ส่วนการปกป้องของซอฟต์แวร์นั้นจะคอยดูแลระบบปฏิบัติการและแอปของบริษัทอื่นให้ปลอดภัยอยู่เสมอ ขณะที่ในส่วนของบริการต่างๆ ก็ทำหน้าที่เป็นกลไกสำหรับการอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างปลอดภัยและทันท่วงที ขับเคลื่อนระบบนิเวศของแอปที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น รักษาความปลอดภัยให้กับการสื่อสารและการชำระเงิน รวมไปถึงมอบประสบการณ์การใช้งานบนเว็บที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าอุปกรณ์ Apple ไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องอุปกรณ์และข้อมูลที่อยู่ในเครื่องเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงระบบนิเวศทั้งระบบ ซึ่งรวมถึงสิ่งที่คุณทำในเครื่อง บนเครือข่าย และกับบริการต่างๆ
บนเว็บที่เป็นที่นิยมด้วย

ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับความปลอดภัยบนแพลตฟอร์มของ Apple

ค่านิยมของเรา

คือตัวกำหนดทิศทาง